ศูนย์วิจัยกสิกรไทยประเมินเบื้องต้นน้ำท่วมกระทบไม่เกิน 0.1%ของจีดีพี แต่หากลุกลามสู่ภาคอุตสาหกรรมต้องทบทวนใหม่ ยืนประมาณจีดีพีปีนี้-ปีหน้าที่ 5% เตือนบาท-เงินทุนผันผวน จาก QE3 แนะประกันความเสี่ยง
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ยังได้รับรับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยลดประมาณส่งออกปีนี้เหลือ 5% จากเดิมที่ 7% แต่ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 5% เนื่องจากภาครัฐน่าจะเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัวลงได้ และในปีหน้าประมาณการเศรษฐกิจเติบโตที่ระดับ 5% เช่นกัน
ส่วนผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นนั้น ขณะนี้ยังมีไม่มาก จังหวัดที่น้ำท่วมส่วนใหญ่เป็นการท่วมตามฤดูกาล คาดว่าผลกระทบไม่น่าจะเกิน 0.1% แต่หากน้ำท่วมลุกลามเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมก็จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
นางสาวพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงต่อไปนั้น ด้านปัจจัยต่างประเทศนั้น ภาพรวมดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปนั้นน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วในปีนี้ และน่าจะค่อยๆดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้เนื่องจากรัฐบาลเริ่มอัดฉีดเงินลงทุนด้านสาธารณูปโภคแล้ว โดยคาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ถึง 8%
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯหลังจากที่ประกาศใช้ QE3แล้ว สถานการณ์จะคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง แต่ระยะถัดไปยังคงขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ ว่าจะมีนโยบายที่จะพยุงเศรษฐกิจอย่างไร เนื่องจากจะมาตรการผ่อนคลายที่หมดอายุลงในช่วงต้นปีหน้า ขณะเดียวกันต้องจำกัดมาตรการด้านการคลังเพื่อลดการขาดดุล โดยคาดว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯหดตัวลงเกือบ 3%ในครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีคาดว่าจะเติบโตที่ 2.1%
"กรณีข้อพิพาษของจีนกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับเกาะเตี้ยวอี๋ว์นั้น น่าจะเป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ท้ายสุดน่าจะใช้วิธีการทางการทูตเข้าไกล่เกลี่ยมากกว่า เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจด้วยกันมากมหาศาล"
นางสาวเกวบิน หวังพิชญสุข ผู้จัดการฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะมาจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการกระตุ้นจากภาครัฐ หลังจากการใช้จ่าย-ลงทุนภาคเอกชนชะลอลง หลังการฟื้นฟูจากภาวะน้ำท่วมเสร็จสิน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่หมดลงด้วย
ด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะคงอยู่ในระดับ 3%จนถึงกลางปีหน้า แม้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จาก 3.3%ในปีนี้ เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่หากทิศทางเศรษฐกิจไทยยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ในระดับเดิม ขณะที่ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง จากสินเชื่อที่เติบโตได้ดี ซึ่งทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง
นอกจากนี้ ผลจากการประกาศใช้ QE3ของสหรัฐฯ ยังทำให้ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น แต่ก็จะมีความผันผวนมากขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทด้วย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าค่าเงินบาทปลายปีนี้จะอยู่ระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กรอบรวมทั้งปีที่ระดับ 29.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
นางวิวรรณ ธาราหิรัญโชติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปี ยังได้รับรับผลกระทบจากการส่งออกที่ชะลอตัวลง โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยลดประมาณส่งออกปีนี้เหลือ 5% จากเดิมที่ 7% แต่ยังคงประมาณการอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในปีนี้ที่ระดับ 5% เนื่องจากภาครัฐน่าจะเข้ามามีบทบาทในการกระตุ้นเศรษฐกิจทดแทนการส่งออกที่ชะลอตัวลงได้ และในปีหน้าประมาณการเศรษฐกิจเติบโตที่ระดับ 5% เช่นกัน
ส่วนผลกระทบจากอุทกภัยที่เกิดขึ้นนั้น ขณะนี้ยังมีไม่มาก จังหวัดที่น้ำท่วมส่วนใหญ่เป็นการท่วมตามฤดูกาล คาดว่าผลกระทบไม่น่าจะเกิน 0.1% แต่หากน้ำท่วมลุกลามเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรมก็จะต้องมีการประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
นางสาวพิมลวรรณ มหัจฉริยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า ปัจจัยที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงต่อไปนั้น ด้านปัจจัยต่างประเทศนั้น ภาพรวมดีขึ้น โดยคาดว่าเศรษฐกิจยุโรปนั้นน่าจะถึงจุดต่ำสุดแล้วในปีนี้ และน่าจะค่อยๆดีขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า รวมถึงเศรษฐกิจจีนที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวได้ในปลายปีนี้เนื่องจากรัฐบาลเริ่มอัดฉีดเงินลงทุนด้านสาธารณูปโภคแล้ว โดยคาดว่าปีนี้จะเติบโตได้ถึง 8%
ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯหลังจากที่ประกาศใช้ QE3แล้ว สถานการณ์จะคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง แต่ระยะถัดไปยังคงขึ้นอยู่กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งใหม่ ว่าจะมีนโยบายที่จะพยุงเศรษฐกิจอย่างไร เนื่องจากจะมาตรการผ่อนคลายที่หมดอายุลงในช่วงต้นปีหน้า ขณะเดียวกันต้องจำกัดมาตรการด้านการคลังเพื่อลดการขาดดุล โดยคาดว่าจากปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯหดตัวลงเกือบ 3%ในครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีคาดว่าจะเติบโตที่ 2.1%
"กรณีข้อพิพาษของจีนกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับเกาะเตี้ยวอี๋ว์นั้น น่าจะเป็นปัจจัยชั่วคราวเท่านั้น ท้ายสุดน่าจะใช้วิธีการทางการทูตเข้าไกล่เกลี่ยมากกว่า เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศนี้มีผลประโยชน์ทางธุรกิจด้วยกันมากมหาศาล"
นางสาวเกวบิน หวังพิชญสุข ผู้จัดการฝ่ายวิจัยการเงินการธนาคาร บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า จะมาจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการกระตุ้นจากภาครัฐ หลังจากการใช้จ่าย-ลงทุนภาคเอกชนชะลอลง หลังการฟื้นฟูจากภาวะน้ำท่วมเสร็จสิน รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่หมดลงด้วย
ด้านทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะคงอยู่ในระดับ 3%จนถึงกลางปีหน้า แม้ว่าแรงกดดันจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.8% จาก 3.3%ในปีนี้ เป็นผลจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น รวมถึงการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่หากทิศทางเศรษฐกิจไทยยังไม่ส่งสัญญาณการฟื้นตัวอย่างชัดเจน เชื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายจะคงอยู่ในระดับเดิม ขณะที่ดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ยังมีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรง จากสินเชื่อที่เติบโตได้ดี ซึ่งทำให้สภาพคล่องในระบบลดลง
นอกจากนี้ ผลจากการประกาศใช้ QE3ของสหรัฐฯ ยังทำให้ภาวะเงินทุนเคลื่อนย้ายเข้าสู่ตลาดทุนมากขึ้น แต่ก็จะมีความผันผวนมากขึ้น รวมถึงค่าเงินบาทด้วย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าค่าเงินบาทปลายปีนี้จะอยู่ระดับ 29.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ กรอบรวมทั้งปีที่ระดับ 29.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งผู้ประกอบการควรพิจารณาป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย