บทความโดย พลตรี จำลอง ศรีเมือง คัดลอกจาก จากนิตยสารรายเดือน “ เราคิดอะไร” ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๕๕
ย้อนหลังไปเมื่อ ต้นปี ๒๕๔๕ หรือ ๑๐ ปีที่แล้ว อาจารย์ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้ช่วยครูคนหนึ่งของโรงเรียนผู้นำ และคุณแก่นฟ้า แสนเมือง ซึ่งเป็นเพื่อนญาติธรรมชาวอโศกด้วยกัน ได้มาติดต่อผมเพื่อขอจัดหลักสูตรสุขภาพสำหรับชาวอโศกที่โรงเรียนผู้นำ(สถาบันฝึกอบรมผู้นำ กาญจนบุรี) หลังจากคุณแก่นฟ้าพาคณะไปศึกษาเกี่ยวกับการจัดหลักสูตร สุขภาพกับท่านอาจารย์ไชยยศที่สิงคโปร์และมาเลเซีย นับเป็นการเริ่มต้นของการจัดหลักสูตรสุขภาพของชาวอโศก โดยปรกติโรงเรียนผู้นำจะมีการฝึกอบรมผู้นำเป็นประจำอยู่แล้ว คือหลักสูตร “พัฒนาคุณภาพชีวิต”
จนกระทั่งช่วงเวลาที่เกิดมีพันธมิตรและกระบวนการ “กู้ชาติ” ที่ต่างต้องทุ่มกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการกู้ชาติจากระบบฉ้อราษฏร์ บังหลวง โกงกินแบบบูรณาการ โดยนักการเมือง และผมได้กลายเป็นหนึ่งในแกนนำในการต่อสู้ ทำให้ผมมีเวลาน้อยลงที่จะยุ่งอยู่กับหลักสูตรต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในโรงเรียนผู้นำไม่ว่าจะเป็นหลักสูตร “พัฒนาคุณภาพชีวิต ” หรือหลักสูตรสุขภาพก็ตาม อาจารย์ขวัญดินอยู่ที่ชุมชนศีรษะอโศกซึ่งสุขภาพไม่ยอมร่วงโรยตามวัย ได้ชักชวนกลุ่มผู้ช่วยครูโรงเรียนผู้นำไปเข้าหลักสูตรล้างพิษที่ศีรษะอโศก ซึ่งคุณแก่นฟ้า และคุณอุ่นเอื้อหลานสาวอาจารย์ขวัญดิน ได้รวบรวมความรู้และร่างหลักสูตรนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ที่รักษาตนเองจากอาการป่วยหนักด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี ที่แพทย์แผนปัจจุบันยืนยันว่าไม่มีทางรักษาหายจึงได้ตระเวณไปแสวงหาความรู้ และหาวิธีรักษาตัวเองจนหาย ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแถมยังดูอ่อนกว่าวัย หน้าตาผิวพรรณดูแจ่มใสกว่าเดิมมาก แต่มาเริ่มจัดหลักสูตรล้างพิษเป็นกิจลักษณะเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เพราะคุณอุ่นเอื้อผู้เป็นหลานได้ถือเอาเรื่องนี้เป็นงานวิจัยระดับปริญญาเอก โดยอาจารย์ขวัญดินเป็นผู้รับผิดชอบและจัดหลักสูตรครั้งแรกให้กับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษชาวอเมริกันที่เป็นโรคไขมันพอกตับ และนิ่วในถุงน้ำดี ที่หมอนัดทำการผ่าตัด แต่อาจารย์ท่านนั้นเลือกมาใช้วิธีล้างพิษกับอาจารย์ขวัญดินที่ชุมชนศีรษะอโศก โดยใช้เวลา ๕ วัน ทำให้นิ่วในถุงน้ำดีของอาจารย์ท่านนั้นหายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้โรคอื่น ๆ ที่มีก็พลอยหายไปด้วย ทำให้ผู้ช่วยครูโรงเรียนผู้นำไม่ลังเลที่จะเดินทางไปศีรษะอโศก หลังจาก ๕ วันของการเข้าหลักสูตรล้างพิษ ผู้ช่วยครูมีสุขภาพดีขึ้นอย่างทันตาเห็น
เมื่อผู้ช่วยครูโรงเรียนผู้นำกลับจากศีรษะอโศก จึงได้ทำการจัดหลักสูตรล้างพิษครั้งแรกเมื่อ ๒๐-๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ โดยบอกกล่าวกันไปยังกลุ่มพันธมิตรซึ่งมีผู้สนใจประมาณ ๕๐ คน เท่านั้น โดยใช้เวลา ๖ วัน ในหลักสูตรล้างพิษจะมีกิจกรรมคล้ายกับการอบรมคุณภาพชีวิตที่คณะเราเคยทำมาก่อน เพียงแต่เปลี่ยนกิจกรรมภาคสนามเช่นการปีนเขา เข้าถ้ำ ทำกสิกรรมไร้สารพิษ มาเป็นบทเรียนในการอดอาหาร การสวนล้างลำไส้และการปรับสมดุลร่างกายแทน
ท่านอาจารย์หมอเฉก ธนะสิริ ครูท่านหนึ่งของโรงเรียนผู้นำ แนะนำให้ผมหันมาจับเรื่องการจัดหลักสูตรล้างพิษ จะได้มีส่วนช่วยให้หลาย ๆ คนหายเจ็บป่วย อาจารย์หมอเฉกเคยไปเข้าหลักสูตรล้างพิษที่ประเทศจีนเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ดีมาก คุณหมอที่ชักชวนให้ไปล้างพิษเป็นหมอแผนปัจจุบันที่เก่ง จบแพทย์เมืองไทยแล้วไปจบที่ประเทศเยอรมันอีก ชวนหมอซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังร่วมไปกับคณะด้วย เช่นคุณหมอเสนอ อินทรสุขศรี เป็นต้น
ผมเรียนอาจารย์หมอเฉกว่า โรงเรียนผู้นำได้เริ่มจัดหลักสูตรล้างพิษมาบ้างแล้ว ท่านก็ดีใจ หลังจากนั้นหลายเดือนท่านบอกผมว่ายังไม่เคยไปดูหลักสูตรล้างพิษที่โรงเรียนผู้นำเลย แต่ทราบจากคนรู้จักกันที่ไปเข้าหลักสูตรมาแล้ว ดูจะดีกว่าหลักสูตรล้างพิษของจีนเมื่อ ๒๐ ปีก่อนเสียอีก พวกเราย้ำนักย้ำหนาว่าหลักสูตรนี้ไม่ใช่หลักสูตรรักษาคนป่วย คนป่วยควรจะไปหาหมอ ที่เขามีหน้าที่โดยตรง เพื่อไม่ให้เสียโอกาส คนมาเข้าหลักสูตรต้องมีร่างกายแข็งแรงพอที่จะเข้าร่วมกิจกรรมได้ ลักษณะของเราเป็นหลักสูตรที่มุ่งส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมทั้งกาย สังคมและจิตวิญญาณ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งทำกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
ปรากฏว่าผู้ที่ผ่านหลักสูตร ๖ วัน มีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ ที่เคยเป็นมาหลายปีพลอยหายไปด้วย มีอาการโล่งกายเบาใจกันถ้วนหน้า เลยมีการกระจายข่าวกันออกไปปากต่อปากและมีผู้สนใจมาก (หลักสูตรที่โรงเรียนผู้นำนับ ๖ วัน รวมทั้งบ่ายวันแรกด้วย ซึ่งเป็นวันลงทะเบียน รับรู้เรื่องการเสริมสร้างสุขภาพและรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย เริ่มล้างพิษจริง ๆ วันที่ ๒ ดังนั้นจะเรียกว่าหลักสูตร ๖ วันหรือ ๕ วันก็ได้
จนถึงปัจจุบันที่โรงเรียนผู้นำได้จัด “หลักสูตรการล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน” มาแล้ว ๒๘ ครั้ง มีผู้ผ่านหลักสูตรแล้วประมาณ ๒,๖๐๐ คน ศูนย์ที่จัดหลักสูตร “การล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน”นับถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๕ มีอยู่กว่า ๗๐ ศูนย์ มีผู้ผ่านหลักสูตร ๒๐๐๐๐ คนเศษ
หลายคนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรล้างพิษเห็นผลดีที่เกิดกับตัวเองทั้งกายและใจ ทั้งได้ความรู้ความสามารถในการล้างพิษออกจากร่างกายแถมไปด้วย บางคนถึงกับไปขอร้องแกมบังคับขอให้เพื่อนสนิทมาเข้าหลักสูตรและตนเองจะบริการให้ทุกอย่าง เพื่อนไม่ยอมถึงกับลงทุนขี่มอเตอร์ไซด์ไปรับไปบังคับ ขู่เข็ญกัน เพื่อนต้องยอมเพราะแพ้น้ำใจ ซึ่งบัดนี้เพื่อนคนนั้นได้ขอขอบคุณที่เขาได้มอบสุขภาพที่ดีกลับคืนมาให้
ที่โรงเรียนผู้นำของเกาหลีใต้ มีคำเตือนว่า “เสียเงินทองถือว่าเสียเล็กน้อย เสียชื่อเสียงนับว่าเสียมาก เสียสุขภาพนับว่าเสียทั้งหมด” ผมจึงเห็นว่าการมอบสุขภาพดีแก่กันเป็นการเสียสละที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆ
ต่อมามีเสียงโต้แย้งหลักสูตรการล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน ดังนี้คือ
๑. เป็นหลักสูตรที่ทำให้เกิดอาการตับเสื่อมและโรคร้ายจากน้ำมันที่กินเข้าไป เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคร้ายสารพัดโรค
๒. อุจจาระที่ออกมาเป็นก้อนแข็งเหมือนหินหรือไม่เหมือนหิน สีเขียว ดำ เหลือง หรือคล้ำ และมีกลิ่นเหม็นนั้นไม่ใช่พิษที่ออกมาแต่ เกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างน้ำมันและ ดีเกลือที่กินเข้าไป ซึ่งอาจสังเคราะห์เป็นธาตุใหม่เช่น นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งหรือโรคอื่น ๆ ได้
๓. น้ำด่างที่ใช้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
๔. อาการที่ดีขึ้นอาจเกิดจากการอดอาหารเท่านั้น
ซึ่งผมเคยบอกกับคณะเราแล้วว่าจะมีการต่อต้านเกิดขึ้นแน่นอน แต่เราไม่วิตกกังวลเพราะเรามีข้อมูลสุขภาพเชิงประจักษ์ที่ผู้ผ่านหลักสูตรได้ไปตรวจสุขภาพและพบว่าค่าต่าง ๆ กลับสู่ภาวะปรกติ อย่างไม่น่าเชื่อ ผมยอมรับว่าประเด็นที่กล่าวมานั้นผมไม่ใคร่มีความรู้เท่าไรนัก เพราะผมเรียนมาทางทหาร มีอาชีพตรงข้ามกับหมอและพยาบาล ทำลายล้างผลาญชีวิตผู้คนในสนามรบไม่ใช่ช่วยชีวิต เลยต้องขอให้คุณแก่นฟ้า แสนเมือง วิศวกรแห่งชุมชนศีรษะอโศกผู้ริเริ่มบุกเบิกหลักสูตรล้างพิษแม้จะไม่ใช่หมอไม่ใช่พยาบาลเช่นกันก็ตาม ช่วยอธิบายให้ผมหน่อยก็แล้วกัน
คำอธิบายของคุณแก่นฟ้า แสนเมือง:
เนื่องจากผมเป็นวิศวกรไม่ใช่หมอ ดังนั้นการอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจึงมีความน่าเชื่อถือน้อยมาก แต่ผมอาจมีข้อมูลจากประสบการณ์ตรงค่อนข้างมาก และได้รับข้อมูลจากผู้ผ่านการล้างพิษตับมากมายจึงถือเป็นการบอกเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับ ผมขอเล่าเป็นข้อ ๆ เกี่ยวกับการล้างพิษก็แล้วกันระหว่างการอ่านขอให้ใช้หลัก “กาลามสูตร” ด้วยนะครับ นั่นคืออย่าได้เชื่อถือผมเป็นอันขาด
1. ผลของน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว
ดร. แอนเดรีย มอริทซ์ (Andreas Moritz) ได้กล่าวถึงบันทึกของศาสตร์ทางการแพทย์ที่เก่าแก่ของอายุรเวท (Ayurveda) ประเทศอินเดีย ที่มีมากว่า 6000 – 10000 ปี ว่าน้ำมันและน้ำผลไม้รสเปรี้ยว เป็นยาที่เก่าแก่ที่สุดของอายุรเวท เป็นความรู้ของการใช้น้ำมันในการล้างพิษออกจากตับและถุงน้ำดี ชาวอียิปต์โบราณก็ได้กล่าวถึงการล้างพิษตับโดยใช้น้ำมันเช่นกัน
มีหนังสือเขียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษและเยอรมันนี เมื่อปี 2463 และ 2473 ได้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ว่าก้อนสีเขียวที่ลอยอยู่ในโถส้วมคือ “นิ่วในถุงน้ำดี”
มีการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การแพทย์ครอบครัวอเมริกัน (American Family Physicians) ฉบับที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541 ว่าได้มีการศึกษาการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีโดยใช้น้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวในการขับ “นิ่ว” ออกจากถุงน้ำดีเป็นผลสำเร็จโดยไม่ต้องผ่าตัด
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือเกี่ยวกับการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวเขียนโดย ดร.แอนเดรีย มอริทซ์ ผู้มีประสบการณ์ล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวมากว่า 30 ปี ทั้งในอินเดียและอเมริกา ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 โดยเฉพาะการตีพิมพ์ครั้งที่ 5 ได้กล่าวว่า “ผลของการล้างพิษตับว่าเป็นคำตอบในตัวของมันเอง ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือคำอธิบายทางการแพทย์ใดว่าสามารถทำความสะอาดตับได้มากกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเราพบก้อนสีเขียว เหลือง ดำ น้ำตาล เป็นร้อยๆ ลอยอยู่ในโถส้วม เราจะรู้สึกทันทีว่ามีบางสิ่งที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา และแน่นอนเราสามารถพึ่งตนเองเรื่องสุขภาพได้ และอาจเป็นครั้งแรกในชีวิตเราที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ไม่มีพิษหรือเป็นโทษใด ๆ แก่ร่างกาย”
ซิสเตอร์สุจิตรา คงอยู่ เป็นสารพัดโรค เข้าออกโรงพยาบาลจนสิ้นหวังกลายเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า ได้มาเข้าคอร์สล้างพิษตับที่ศีรษะอโศกเพียงครั้งเดียว และได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว เหมือนได้ชีวิตใหม่ ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดูแลสุขภาพของชาวคริสตร์หลายแห่ง จนถึงกับกล่าวว่า “ความเป็นโรค เป็นโชคอันประเสริฐ” ทำให้ได้พบวิธีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ยังมีผู้ที่ผ่านการเข้าคอร์สล้างพิษตับที่ได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวอีกเป็นจำนวนร่วมหมื่นคน และเกือบทุกคนมีสุขภาพที่ดีขึ้น หลายคนมีผลการตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลซึ่งพบว่าหลังการเข้าคอร์สมีค่าตัวบ่งชี้ความมีสุขภาพดีต่าง ๆ ลดลงสู่ภาวะปกติอย่างมีนัยยะสำคัญ และที่สำคัญคือตัวผมเองซึ่งเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากเชื้อไวรัสบีจนตับเริ่มแข็งตัวได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ประมาณ 5 ครั้ง ผมกลับแข็งแรงและไวรัสบีได้หายไป ผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ 2 ครั้งไม่พบเชื้อไวรัสบีแต่อย่างใด
จากข้อมูลดังกล่าวน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวจึงไม่น่าเป็นต้นเหตุทำให้ตับเสื่อมหรือโรคร้ายแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามกลับช่วยทำให้ตับมีคุณภาพดีขึ้นและทำให้โรคร้ายต่าง ๆ หายไปอีกต่างหาก
2. สิ่งที่ออกมาเป็นก้อนนิ่วในตับหรือถุงน้ำดีหรือไม่ มีข้อมูลเชิงประจักษ์ดังนี้
คุณไหม อยู่ที่อำเภอหนองกี่จังหวัดบุรีรัมย์ มีอาการไม่สบาย จากผลของการอุลตราซาวด์หมอบอกว่ามีนิ่วอุดตันที่ท่อน้ำดีขนาด10 ม.ม.ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยมีค่าใช้จ่าย 30,000 บาท เนื่องจากไม่มีเงินจึงมาเข้าคอร์สล้างตับ 2 ครั้ง นิ่วมีขนาดเล็กลงเหลือ 3 ม.ม.และหมอบอกว่าไม่ต้องผ่าตัดถุงน้ำดีอีกแล้ว
คุณลินดา คนอเมริกัน อ้วนมาก หมอนัดผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ได้เลือกมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ หลังดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวและดีเกลือ มีก้อนไขมันและก้อนนิ่วออกมาเกือบ 2 ลิตร มากกว่าปริมาณน้ำมันที่กินเข้าไป เพียงครั้งเดียวก้อนนิ่วทั้งหลายได้หายไปและไม่ต้องผ่าตัดอีกแม้ผ่านมาแล้ว 6 ปี
คุณเคนทาโร่ คนญี่ปุ่น ต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากหมอที่ญี่ปุ่นพบนิ่วในถุงน้ำดีขนาด 5-10 ม.ม. จำนวน 5 ก้อน โดยต้องเสียค่าใช้จ่าย 2 แสนบาท ตัดสินใจมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ ครั้งที่ 2 มีก้อนนิ่วสีเขียวมรกตหลุดปะปนมากับไขมันจำนวน 5 ก้อนเหมือนกัน และไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
จากข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่าสิ่งที่หลุดออกมาเป็นนิ่วในถุงน้ำดี จึงทำให้หมอตรวจไม่พบและไม่ต้องผ่าตัด ส่วนประเด็นที่กล่าวว่าอาจเป็นสิ่งที่กินเข้าไปสังเคราะห์ตัวกันเป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็ง ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเช่นนั้น จนกว่าจะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อน ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก้อนนิ่วดังกล่าวคงจะไม่หลุดออกมาข้างนอก ต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเดียว ซึ่งหาเป็นเช่นนั้นไม่
ส่วนการอธิบายเชิงเปรียบเทียบการทำเต้าหู้แผ่นด้วยการใส่ดีเกลือลงไปในน้ำนมถั่วเหลือง ทำให้แยกน้ำแยกเนื้อเป็นก้อนเต้าหู้นั้น เป็นการแยกโปรตีนออกจากน้ำนั่นเอง ซึ่งใส่น้ำมะนาวลงไปก็สามารถแยกได้เช่นกัน การอธิบายดังกล่าวทำให้มีข้อแย้งว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงน้ำมันมะกอกคงแข็งตัวแยกออกมาเป็นก้อนตั้งแต่อยู่ในขวดก่อนดื่มแล้ว ซึ่งดีเกลือกับน้ำมะนาวไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของน้ำมันมะกอกแต่อย่างใด
ส่วนกรณีปฏิกิริยาของน้ำดีจากตับต่อการจับตัวเป็นก้อนของไขมันมีความเป็นไปได้กรณีหนึ่งคือการเป็น “ก้อนสบู่” จากปฏิกิริยาของไขมันกับด่างที่เข้มข้น (pH 13-14) ซึ่งความเข้มข้นระดับนี้สามารถทำให้ตัวตับเองถูกทำลายได้ ถ้าน้ำดีมีความเป็นด่างอ่อน ปฏิกิริยาจะเกิดได้เพียงแค่เป็นสบู่เหลว ซึ่งกลับเป็นผลดีทำให้ไขมันถูกชำระล้างออกจากตับได้ง่ายขึ้น แต่ก้อนไขมันที่หลุดออกมาไม่มีคุณสมบัติในการชะล้างเช่นสบู่อยู่เลย
3. น้ำด่างช่วยรักษามะเร็ง
อ็อตโต วอร์เบิร์ก (Otto Warburge) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาในปี พ.ศ. 2474 เป็นผู้ค้นพบสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งว่าร้อยละ 99 เกิดจากร่างกายมีสภาวะเป็นกรด มากกว่าสภาวะปรกติถึงพันเท่า และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในภาวะขาดออกซิเจน เซลล์ปรกติจะมีค่า พีเอช (pH) อยู่ที่ 7.35 เมื่อเซลล์มะเร็งมีค่าพีเอชสูงกว่า 7.5 จะฝ่อตาย และหากสูง ถึง 8 จะตายทันที จากการวัดค่าพีเอชน้ำลายของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งพบว่ามีค่า พีเอช ต่ำกว่า 4.5
ในปี 2511 ดร. ฮิโรมิ ชินย่า (Hiromi Shinya) ได้ใช้น้ำด่าง(Alkaline) ที่ผลิตจากเครื่องไฟฟ้า รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในลำไส้ และตรวจสอบโดยกล้องส่องลำไส้ พบว่าสามารถรักษามะเร็งได้
ในปี พ.ศ. 2547 มีการนำเสนอการใช้น้ำด่าง (Alkaline) ในการป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง ที่มหาวิทยาลัยคิวชู (Kyushu Institute of Technology) ตั้งอยู่ในจังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
วอลเตอร์ ลาสท์ (Walter Last) ใช้วิธีการควบคุมพีเอชของน้ำปัสสาวะให้สูงกว่า 7 ในการรักษามะเร็งโดยการทานซีเลี่ยม(psyllium) 1 ช้อนชา ผสมโซเดี่ยมไบคาร์บอร์เนต(ผงฟู) 2-3 ช้อนชา หลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง แต่ไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคไต
เมืองไทยสมัยก่อนมีการใช้น้ำด่างจากขี้เถ้าละลายไขมันในเส้นด้ายและไหมเพื่อให้เส้นด้ายฟู นุ่มและย้อมสีได้ติดทนนาน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีลูกศิษย์ผมคนหนึ่งใช้ขี้เถ้ากาบมะพร้าว 1 ก.ก. แช่น้ำ 1 เดือน ความเป็นด่างอยู่ที่พีเอช 13-14 แล้วนำน้ำด่าง 1 ฝาขวด ผสมน้ำ 1 ลิตร ให้คนที่เป็นโรคอ้วนหลายคนทาน ปรากฏว่าสามารถละลายมูกเมือกมันออกมาจากร่างกายได้อย่างมาก อาการไม่สบายต่างๆ หายไปอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นจะเห็นว่าน้ำด่างมีผลต่อการละลายไขมันซึ่งตกค้างอยู่ในร่างกายและช่วยลดสภาพความเป็นกรดของเซลล์เป็นการป้องกันและรักษามะเร็งอย่างเป็นธรรมชาติ และน้ำด่างที่หาง่ายที่สุดก็ได้จากขี้เถ้านั่นเอง
4. การอดอาหารช่วยขับพิษออกจากร่างกาย
การอดอาหารล้างพิษเป็นหลักการหนึ่งของการแพทย์แผนธรรมชาติ มีความเป็นมาจากประเพณี และการแพทย์พื้นถิ่นของหลายชนชาติ เช่น การแพทย์พื้นถิ่นของยุโรปโดยฮิปโปเครติส ศาสตร์สุขภาพของอินเดีย อายุรเวท การงดกินของแสลงในผู้ป่วย หรือหญิงหลังคลอดในการแพทย์พื้นถิ่นของไทย การงดกินอาหารย่อยยากและดื่มแต่น้ำข้าวต้มยามเจ็บป่วยในการแพทย์แผนจีน การอดอาหารร่วมกับสมาธิ ธรรมโอสถ ในวัตรปฏิบัติของภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา เป็นต้น
ปัจจุบันการล้างพิษกลายเป็นหลักปฏิบัติในศูนย์สุขภาพแนวธรรมชาติที่นำสมัยทั่วโลก อายุรเวทใช้ปัญจกรรมะ ได้แก่ การอดอาหารหรือกินแต่น้อย สวนล้างลำไส้ ถ่ายยา ล้างทางเดินหายใจ เพื่อล้างพิษและฟื้นคืนสุขภาพในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ที่ศีรษะอโศก เราใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย “กรรม 7” คือ การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว(Oil pulling) การอดอาหาร(Diet) การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากไยอาหาร(food fiber detoxification) การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว(Liver flush) การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้าพีเอช 8.5 การแช่เท้าและพอกหน้า เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
แต่พิษที่เป็นสาเหตุแห่งพิษทั้งปวงนั้นตามหลักศาสนามาจากผลของจิตวิญญาณมีการสะสมกิเลสความโลภ โกรธ หลง ในระดับที่เพิ่มขึ้น โดยความโลภจะเป็นตัวแสดงออกที่เด่นชัดเป็นแรงผลักดันให้เกิดตัณหาหรือความอยาก จนทำให้เกิดการทำงานอย่างหนักเพื่อแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมาสะสมโดยมีความเข้าใจว่าเป็นความสุข ผลจากความสำเร็จในการหาเงินทำให้เกิดอัตตา ตัวตน (Ego) ที่สูงขึ้น มีความยึดมั่น ถือมั่นในตนเองสูง เมื่อมีเงินแล้วก็แสวงหาความสุขโดยใช้เงินที่หามาได้มาบำเรอตนเองด้วยการ กิน สูบ ดื่ม เสพ ตามใจอยากของตนเอง พฤติกรรมดังกล่าวย่อมส่งผลให้ร่างกายเกิดการสะสมพิษจากการบริโภค และพิษจากภาวะความกดดันทางอารมณ์จากการทำงาน เมื่อสะสมถึงจุดหนึ่งจะทำให้เกิดภาวะความเจ็บป่วย เช่นโรคอ้วน มะเร็ง เบาหวาน ความดัน เป็นต้น เป็นความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เกิดจากภาวะการติดเชื้อแต่เกิดจากพิษที่สะสมในจิตวิญญาณนั่นเอง ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้
ย้อนหลังไปเมื่อ ต้นปี ๒๕๔๕ หรือ ๑๐ ปีที่แล้ว อาจารย์ขวัญดิน สิงห์คำ ผู้ช่วยครูคนหนึ่งของโรงเรียนผู้นำ และคุณแก่นฟ้า แสนเมือง ซึ่งเป็นเพื่อนญาติธรรมชาวอโศกด้วยกัน ได้มาติดต่อผมเพื่อขอจัดหลักสูตรสุขภาพสำหรับชาวอโศกที่โรงเรียนผู้นำ(สถาบันฝึกอบรมผู้นำ กาญจนบุรี) หลังจากคุณแก่นฟ้าพาคณะไปศึกษาเกี่ยวกับการจัดหลักสูตร สุขภาพกับท่านอาจารย์ไชยยศที่สิงคโปร์และมาเลเซีย นับเป็นการเริ่มต้นของการจัดหลักสูตรสุขภาพของชาวอโศก โดยปรกติโรงเรียนผู้นำจะมีการฝึกอบรมผู้นำเป็นประจำอยู่แล้ว คือหลักสูตร “พัฒนาคุณภาพชีวิต”
จนกระทั่งช่วงเวลาที่เกิดมีพันธมิตรและกระบวนการ “กู้ชาติ” ที่ต่างต้องทุ่มกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ด้วยอุดมการณ์ที่ต้องการกู้ชาติจากระบบฉ้อราษฏร์ บังหลวง โกงกินแบบบูรณาการ โดยนักการเมือง และผมได้กลายเป็นหนึ่งในแกนนำในการต่อสู้ ทำให้ผมมีเวลาน้อยลงที่จะยุ่งอยู่กับหลักสูตรต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในโรงเรียนผู้นำไม่ว่าจะเป็นหลักสูตร “พัฒนาคุณภาพชีวิต ” หรือหลักสูตรสุขภาพก็ตาม อาจารย์ขวัญดินอยู่ที่ชุมชนศีรษะอโศกซึ่งสุขภาพไม่ยอมร่วงโรยตามวัย ได้ชักชวนกลุ่มผู้ช่วยครูโรงเรียนผู้นำไปเข้าหลักสูตรล้างพิษที่ศีรษะอโศก ซึ่งคุณแก่นฟ้า และคุณอุ่นเอื้อหลานสาวอาจารย์ขวัญดิน ได้รวบรวมความรู้และร่างหลักสูตรนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ที่รักษาตนเองจากอาการป่วยหนักด้วยโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสบี ที่แพทย์แผนปัจจุบันยืนยันว่าไม่มีทางรักษาหายจึงได้ตระเวณไปแสวงหาความรู้ และหาวิธีรักษาตัวเองจนหาย ร่างกายกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแถมยังดูอ่อนกว่าวัย หน้าตาผิวพรรณดูแจ่มใสกว่าเดิมมาก แต่มาเริ่มจัดหลักสูตรล้างพิษเป็นกิจลักษณะเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐ เพราะคุณอุ่นเอื้อผู้เป็นหลานได้ถือเอาเรื่องนี้เป็นงานวิจัยระดับปริญญาเอก โดยอาจารย์ขวัญดินเป็นผู้รับผิดชอบและจัดหลักสูตรครั้งแรกให้กับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษชาวอเมริกันที่เป็นโรคไขมันพอกตับ และนิ่วในถุงน้ำดี ที่หมอนัดทำการผ่าตัด แต่อาจารย์ท่านนั้นเลือกมาใช้วิธีล้างพิษกับอาจารย์ขวัญดินที่ชุมชนศีรษะอโศก โดยใช้เวลา ๕ วัน ทำให้นิ่วในถุงน้ำดีของอาจารย์ท่านนั้นหายไปโดยไม่ต้องผ่าตัด นอกจากนี้โรคอื่น ๆ ที่มีก็พลอยหายไปด้วย ทำให้ผู้ช่วยครูโรงเรียนผู้นำไม่ลังเลที่จะเดินทางไปศีรษะอโศก หลังจาก ๕ วันของการเข้าหลักสูตรล้างพิษ ผู้ช่วยครูมีสุขภาพดีขึ้นอย่างทันตาเห็น
เมื่อผู้ช่วยครูโรงเรียนผู้นำกลับจากศีรษะอโศก จึงได้ทำการจัดหลักสูตรล้างพิษครั้งแรกเมื่อ ๒๐-๒๕ เมษายน ๒๕๕๔ โดยบอกกล่าวกันไปยังกลุ่มพันธมิตรซึ่งมีผู้สนใจประมาณ ๕๐ คน เท่านั้น โดยใช้เวลา ๖ วัน ในหลักสูตรล้างพิษจะมีกิจกรรมคล้ายกับการอบรมคุณภาพชีวิตที่คณะเราเคยทำมาก่อน เพียงแต่เปลี่ยนกิจกรรมภาคสนามเช่นการปีนเขา เข้าถ้ำ ทำกสิกรรมไร้สารพิษ มาเป็นบทเรียนในการอดอาหาร การสวนล้างลำไส้และการปรับสมดุลร่างกายแทน
ท่านอาจารย์หมอเฉก ธนะสิริ ครูท่านหนึ่งของโรงเรียนผู้นำ แนะนำให้ผมหันมาจับเรื่องการจัดหลักสูตรล้างพิษ จะได้มีส่วนช่วยให้หลาย ๆ คนหายเจ็บป่วย อาจารย์หมอเฉกเคยไปเข้าหลักสูตรล้างพิษที่ประเทศจีนเมื่อ ๒๐ ปีก่อน ดีมาก คุณหมอที่ชักชวนให้ไปล้างพิษเป็นหมอแผนปัจจุบันที่เก่ง จบแพทย์เมืองไทยแล้วไปจบที่ประเทศเยอรมันอีก ชวนหมอซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังร่วมไปกับคณะด้วย เช่นคุณหมอเสนอ อินทรสุขศรี เป็นต้น
ผมเรียนอาจารย์หมอเฉกว่า โรงเรียนผู้นำได้เริ่มจัดหลักสูตรล้างพิษมาบ้างแล้ว ท่านก็ดีใจ หลังจากนั้นหลายเดือนท่านบอกผมว่ายังไม่เคยไปดูหลักสูตรล้างพิษที่โรงเรียนผู้นำเลย แต่ทราบจากคนรู้จักกันที่ไปเข้าหลักสูตรมาแล้ว ดูจะดีกว่าหลักสูตรล้างพิษของจีนเมื่อ ๒๐ ปีก่อนเสียอีก พวกเราย้ำนักย้ำหนาว่าหลักสูตรนี้ไม่ใช่หลักสูตรรักษาคนป่วย คนป่วยควรจะไปหาหมอ ที่เขามีหน้าที่โดยตรง เพื่อไม่ให้เสียโอกาส คนมาเข้าหลักสูตรต้องมีร่างกายแข็งแรงพอที่จะเข้าร่วมกิจกรรมได้ ลักษณะของเราเป็นหลักสูตรที่มุ่งส่งเสริมการดูแลรักษาสุขภาพอย่างเป็นองค์รวมทั้งกาย สังคมและจิตวิญญาณ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขที่ส่งเสริมให้มีกิจกรรมทางสุขภาพต่าง ๆ ซึ่งทำกันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมือง
ปรากฏว่าผู้ที่ผ่านหลักสูตร ๖ วัน มีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อาการไม่สบายกายไม่สบายใจต่างๆ ที่เคยเป็นมาหลายปีพลอยหายไปด้วย มีอาการโล่งกายเบาใจกันถ้วนหน้า เลยมีการกระจายข่าวกันออกไปปากต่อปากและมีผู้สนใจมาก (หลักสูตรที่โรงเรียนผู้นำนับ ๖ วัน รวมทั้งบ่ายวันแรกด้วย ซึ่งเป็นวันลงทะเบียน รับรู้เรื่องการเสริมสร้างสุขภาพและรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย เริ่มล้างพิษจริง ๆ วันที่ ๒ ดังนั้นจะเรียกว่าหลักสูตร ๖ วันหรือ ๕ วันก็ได้
จนถึงปัจจุบันที่โรงเรียนผู้นำได้จัด “หลักสูตรการล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน” มาแล้ว ๒๘ ครั้ง มีผู้ผ่านหลักสูตรแล้วประมาณ ๒,๖๐๐ คน ศูนย์ที่จัดหลักสูตร “การล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน”นับถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๕ มีอยู่กว่า ๗๐ ศูนย์ มีผู้ผ่านหลักสูตร ๒๐๐๐๐ คนเศษ
หลายคนที่ผ่านการอบรมหลักสูตรล้างพิษเห็นผลดีที่เกิดกับตัวเองทั้งกายและใจ ทั้งได้ความรู้ความสามารถในการล้างพิษออกจากร่างกายแถมไปด้วย บางคนถึงกับไปขอร้องแกมบังคับขอให้เพื่อนสนิทมาเข้าหลักสูตรและตนเองจะบริการให้ทุกอย่าง เพื่อนไม่ยอมถึงกับลงทุนขี่มอเตอร์ไซด์ไปรับไปบังคับ ขู่เข็ญกัน เพื่อนต้องยอมเพราะแพ้น้ำใจ ซึ่งบัดนี้เพื่อนคนนั้นได้ขอขอบคุณที่เขาได้มอบสุขภาพที่ดีกลับคืนมาให้
ที่โรงเรียนผู้นำของเกาหลีใต้ มีคำเตือนว่า “เสียเงินทองถือว่าเสียเล็กน้อย เสียชื่อเสียงนับว่าเสียมาก เสียสุขภาพนับว่าเสียทั้งหมด” ผมจึงเห็นว่าการมอบสุขภาพดีแก่กันเป็นการเสียสละที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆ
ต่อมามีเสียงโต้แย้งหลักสูตรการล้างพิษของอาจารย์ขวัญดิน ดังนี้คือ
๑. เป็นหลักสูตรที่ทำให้เกิดอาการตับเสื่อมและโรคร้ายจากน้ำมันที่กินเข้าไป เช่น โรคมะเร็ง หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคร้ายสารพัดโรค
๒. อุจจาระที่ออกมาเป็นก้อนแข็งเหมือนหินหรือไม่เหมือนหิน สีเขียว ดำ เหลือง หรือคล้ำ และมีกลิ่นเหม็นนั้นไม่ใช่พิษที่ออกมาแต่ เกิดจากปฏิกิริยาเคมีระหว่างน้ำมันและ ดีเกลือที่กินเข้าไป ซึ่งอาจสังเคราะห์เป็นธาตุใหม่เช่น นิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งหรือโรคอื่น ๆ ได้
๓. น้ำด่างที่ใช้ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด
๔. อาการที่ดีขึ้นอาจเกิดจากการอดอาหารเท่านั้น
ซึ่งผมเคยบอกกับคณะเราแล้วว่าจะมีการต่อต้านเกิดขึ้นแน่นอน แต่เราไม่วิตกกังวลเพราะเรามีข้อมูลสุขภาพเชิงประจักษ์ที่ผู้ผ่านหลักสูตรได้ไปตรวจสุขภาพและพบว่าค่าต่าง ๆ กลับสู่ภาวะปรกติ อย่างไม่น่าเชื่อ ผมยอมรับว่าประเด็นที่กล่าวมานั้นผมไม่ใคร่มีความรู้เท่าไรนัก เพราะผมเรียนมาทางทหาร มีอาชีพตรงข้ามกับหมอและพยาบาล ทำลายล้างผลาญชีวิตผู้คนในสนามรบไม่ใช่ช่วยชีวิต เลยต้องขอให้คุณแก่นฟ้า แสนเมือง วิศวกรแห่งชุมชนศีรษะอโศกผู้ริเริ่มบุกเบิกหลักสูตรล้างพิษแม้จะไม่ใช่หมอไม่ใช่พยาบาลเช่นกันก็ตาม ช่วยอธิบายให้ผมหน่อยก็แล้วกัน
คำอธิบายของคุณแก่นฟ้า แสนเมือง:
เนื่องจากผมเป็นวิศวกรไม่ใช่หมอ ดังนั้นการอธิบายเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพจึงมีความน่าเชื่อถือน้อยมาก แต่ผมอาจมีข้อมูลจากประสบการณ์ตรงค่อนข้างมาก และได้รับข้อมูลจากผู้ผ่านการล้างพิษตับมากมายจึงถือเป็นการบอกเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับ ผมขอเล่าเป็นข้อ ๆ เกี่ยวกับการล้างพิษก็แล้วกันระหว่างการอ่านขอให้ใช้หลัก “กาลามสูตร” ด้วยนะครับ นั่นคืออย่าได้เชื่อถือผมเป็นอันขาด
1. ผลของน้ำมันมะกอกและน้ำมะนาว
ดร. แอนเดรีย มอริทซ์ (Andreas Moritz) ได้กล่าวถึงบันทึกของศาสตร์ทางการแพทย์ที่เก่าแก่ของอายุรเวท (Ayurveda) ประเทศอินเดีย ที่มีมากว่า 6000 – 10000 ปี ว่าน้ำมันและน้ำผลไม้รสเปรี้ยว เป็นยาที่เก่าแก่ที่สุดของอายุรเวท เป็นความรู้ของการใช้น้ำมันในการล้างพิษออกจากตับและถุงน้ำดี ชาวอียิปต์โบราณก็ได้กล่าวถึงการล้างพิษตับโดยใช้น้ำมันเช่นกัน
มีหนังสือเขียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษและเยอรมันนี เมื่อปี 2463 และ 2473 ได้อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นจากการดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำผลไม้ว่าก้อนสีเขียวที่ลอยอยู่ในโถส้วมคือ “นิ่วในถุงน้ำดี”
มีการตีพิมพ์ในวารสารเวชศาสตร์การแพทย์ครอบครัวอเมริกัน (American Family Physicians) ฉบับที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541 ว่าได้มีการศึกษาการรักษาโรคนิ่วในถุงน้ำดีโดยใช้น้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวในการขับ “นิ่ว” ออกจากถุงน้ำดีเป็นผลสำเร็จโดยไม่ต้องผ่าตัด
นอกจากนี้ ยังมีหนังสือเกี่ยวกับการล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวเขียนโดย ดร.แอนเดรีย มอริทซ์ ผู้มีประสบการณ์ล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวมากว่า 30 ปี ทั้งในอินเดียและอเมริกา ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2540 โดยเฉพาะการตีพิมพ์ครั้งที่ 5 ได้กล่าวว่า “ผลของการล้างพิษตับว่าเป็นคำตอบในตัวของมันเอง ไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์หรือคำอธิบายทางการแพทย์ใดว่าสามารถทำความสะอาดตับได้มากกว่านี้อีกแล้ว เมื่อเราพบก้อนสีเขียว เหลือง ดำ น้ำตาล เป็นร้อยๆ ลอยอยู่ในโถส้วม เราจะรู้สึกทันทีว่ามีบางสิ่งที่สำคัญอันยิ่งใหญ่ในชีวิตเรา และแน่นอนเราสามารถพึ่งตนเองเรื่องสุขภาพได้ และอาจเป็นครั้งแรกในชีวิตเราที่มีความรู้สึกเช่นนี้ ไม่มีพิษหรือเป็นโทษใด ๆ แก่ร่างกาย”
ซิสเตอร์สุจิตรา คงอยู่ เป็นสารพัดโรค เข้าออกโรงพยาบาลจนสิ้นหวังกลายเป็นโรคซึมเศร้า ต้องเข้าโรงพยาบาลบ้า ได้มาเข้าคอร์สล้างพิษตับที่ศีรษะอโศกเพียงครั้งเดียว และได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว เหมือนได้ชีวิตใหม่ ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ปัจจุบันได้รับอนุญาตให้เป็นผู้ดูแลสุขภาพของชาวคริสตร์หลายแห่ง จนถึงกับกล่าวว่า “ความเป็นโรค เป็นโชคอันประเสริฐ” ทำให้ได้พบวิธีช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
ยังมีผู้ที่ผ่านการเข้าคอร์สล้างพิษตับที่ได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวอีกเป็นจำนวนร่วมหมื่นคน และเกือบทุกคนมีสุขภาพที่ดีขึ้น หลายคนมีผลการตรวจสุขภาพจากโรงพยาบาลซึ่งพบว่าหลังการเข้าคอร์สมีค่าตัวบ่งชี้ความมีสุขภาพดีต่าง ๆ ลดลงสู่ภาวะปกติอย่างมีนัยยะสำคัญ และที่สำคัญคือตัวผมเองซึ่งเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากเชื้อไวรัสบีจนตับเริ่มแข็งตัวได้ดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว ประมาณ 5 ครั้ง ผมกลับแข็งแรงและไวรัสบีได้หายไป ผลตรวจทางวิทยาศาสตร์ 2 ครั้งไม่พบเชื้อไวรัสบีแต่อย่างใด
จากข้อมูลดังกล่าวน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวจึงไม่น่าเป็นต้นเหตุทำให้ตับเสื่อมหรือโรคร้ายแต่ประการใด ในทางตรงกันข้ามกลับช่วยทำให้ตับมีคุณภาพดีขึ้นและทำให้โรคร้ายต่าง ๆ หายไปอีกต่างหาก
2. สิ่งที่ออกมาเป็นก้อนนิ่วในตับหรือถุงน้ำดีหรือไม่ มีข้อมูลเชิงประจักษ์ดังนี้
คุณไหม อยู่ที่อำเภอหนองกี่จังหวัดบุรีรัมย์ มีอาการไม่สบาย จากผลของการอุลตราซาวด์หมอบอกว่ามีนิ่วอุดตันที่ท่อน้ำดีขนาด10 ม.ม.ต้องเข้ารับการผ่าตัดโดยมีค่าใช้จ่าย 30,000 บาท เนื่องจากไม่มีเงินจึงมาเข้าคอร์สล้างตับ 2 ครั้ง นิ่วมีขนาดเล็กลงเหลือ 3 ม.ม.และหมอบอกว่าไม่ต้องผ่าตัดถุงน้ำดีอีกแล้ว
คุณลินดา คนอเมริกัน อ้วนมาก หมอนัดผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ได้เลือกมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ หลังดื่มน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาวและดีเกลือ มีก้อนไขมันและก้อนนิ่วออกมาเกือบ 2 ลิตร มากกว่าปริมาณน้ำมันที่กินเข้าไป เพียงครั้งเดียวก้อนนิ่วทั้งหลายได้หายไปและไม่ต้องผ่าตัดอีกแม้ผ่านมาแล้ว 6 ปี
คุณเคนทาโร่ คนญี่ปุ่น ต้องเข้ารับการผ่าตัดเนื่องจากหมอที่ญี่ปุ่นพบนิ่วในถุงน้ำดีขนาด 5-10 ม.ม. จำนวน 5 ก้อน โดยต้องเสียค่าใช้จ่าย 2 แสนบาท ตัดสินใจมาเข้าคอร์สล้างพิษตับ ครั้งที่ 2 มีก้อนนิ่วสีเขียวมรกตหลุดปะปนมากับไขมันจำนวน 5 ก้อนเหมือนกัน และไม่ต้องผ่าตัดแล้ว
จากข้อมูลดังกล่าวสรุปได้ว่าสิ่งที่หลุดออกมาเป็นนิ่วในถุงน้ำดี จึงทำให้หมอตรวจไม่พบและไม่ต้องผ่าตัด ส่วนประเด็นที่กล่าวว่าอาจเป็นสิ่งที่กินเข้าไปสังเคราะห์ตัวกันเป็นก้อนนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็ง ยังไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเช่นนั้น จนกว่าจะมีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเสียก่อน ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงก้อนนิ่วดังกล่าวคงจะไม่หลุดออกมาข้างนอก ต้องเข้ารับการผ่าตัดอย่างเดียว ซึ่งหาเป็นเช่นนั้นไม่
ส่วนการอธิบายเชิงเปรียบเทียบการทำเต้าหู้แผ่นด้วยการใส่ดีเกลือลงไปในน้ำนมถั่วเหลือง ทำให้แยกน้ำแยกเนื้อเป็นก้อนเต้าหู้นั้น เป็นการแยกโปรตีนออกจากน้ำนั่นเอง ซึ่งใส่น้ำมะนาวลงไปก็สามารถแยกได้เช่นกัน การอธิบายดังกล่าวทำให้มีข้อแย้งว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงน้ำมันมะกอกคงแข็งตัวแยกออกมาเป็นก้อนตั้งแต่อยู่ในขวดก่อนดื่มแล้ว ซึ่งดีเกลือกับน้ำมะนาวไม่มีคุณสมบัติใด ๆ ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของน้ำมันมะกอกแต่อย่างใด
ส่วนกรณีปฏิกิริยาของน้ำดีจากตับต่อการจับตัวเป็นก้อนของไขมันมีความเป็นไปได้กรณีหนึ่งคือการเป็น “ก้อนสบู่” จากปฏิกิริยาของไขมันกับด่างที่เข้มข้น (pH 13-14) ซึ่งความเข้มข้นระดับนี้สามารถทำให้ตัวตับเองถูกทำลายได้ ถ้าน้ำดีมีความเป็นด่างอ่อน ปฏิกิริยาจะเกิดได้เพียงแค่เป็นสบู่เหลว ซึ่งกลับเป็นผลดีทำให้ไขมันถูกชำระล้างออกจากตับได้ง่ายขึ้น แต่ก้อนไขมันที่หลุดออกมาไม่มีคุณสมบัติในการชะล้างเช่นสบู่อยู่เลย
3. น้ำด่างช่วยรักษามะเร็ง
อ็อตโต วอร์เบิร์ก (Otto Warburge) ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยาในปี พ.ศ. 2474 เป็นผู้ค้นพบสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งว่าร้อยละ 99 เกิดจากร่างกายมีสภาวะเป็นกรด มากกว่าสภาวะปรกติถึงพันเท่า และสามารถเจริญเติบโตได้ดีในภาวะขาดออกซิเจน เซลล์ปรกติจะมีค่า พีเอช (pH) อยู่ที่ 7.35 เมื่อเซลล์มะเร็งมีค่าพีเอชสูงกว่า 7.5 จะฝ่อตาย และหากสูง ถึง 8 จะตายทันที จากการวัดค่าพีเอชน้ำลายของผู้ป่วยเป็นโรคมะเร็งพบว่ามีค่า พีเอช ต่ำกว่า 4.5
ในปี 2511 ดร. ฮิโรมิ ชินย่า (Hiromi Shinya) ได้ใช้น้ำด่าง(Alkaline) ที่ผลิตจากเครื่องไฟฟ้า รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งในลำไส้ และตรวจสอบโดยกล้องส่องลำไส้ พบว่าสามารถรักษามะเร็งได้
ในปี พ.ศ. 2547 มีการนำเสนอการใช้น้ำด่าง (Alkaline) ในการป้องกันและรักษาโรคมะเร็ง ที่มหาวิทยาลัยคิวชู (Kyushu Institute of Technology) ตั้งอยู่ในจังหวัดฟูกูโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
วอลเตอร์ ลาสท์ (Walter Last) ใช้วิธีการควบคุมพีเอชของน้ำปัสสาวะให้สูงกว่า 7 ในการรักษามะเร็งโดยการทานซีเลี่ยม(psyllium) 1 ช้อนชา ผสมโซเดี่ยมไบคาร์บอร์เนต(ผงฟู) 2-3 ช้อนชา หลังอาหาร 2-3 ชั่วโมง แต่ไม่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคไต
เมืองไทยสมัยก่อนมีการใช้น้ำด่างจากขี้เถ้าละลายไขมันในเส้นด้ายและไหมเพื่อให้เส้นด้ายฟู นุ่มและย้อมสีได้ติดทนนาน
เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีลูกศิษย์ผมคนหนึ่งใช้ขี้เถ้ากาบมะพร้าว 1 ก.ก. แช่น้ำ 1 เดือน ความเป็นด่างอยู่ที่พีเอช 13-14 แล้วนำน้ำด่าง 1 ฝาขวด ผสมน้ำ 1 ลิตร ให้คนที่เป็นโรคอ้วนหลายคนทาน ปรากฏว่าสามารถละลายมูกเมือกมันออกมาจากร่างกายได้อย่างมาก อาการไม่สบายต่างๆ หายไปอย่างเห็นได้ชัด
ดังนั้นจะเห็นว่าน้ำด่างมีผลต่อการละลายไขมันซึ่งตกค้างอยู่ในร่างกายและช่วยลดสภาพความเป็นกรดของเซลล์เป็นการป้องกันและรักษามะเร็งอย่างเป็นธรรมชาติ และน้ำด่างที่หาง่ายที่สุดก็ได้จากขี้เถ้านั่นเอง
4. การอดอาหารช่วยขับพิษออกจากร่างกาย
การอดอาหารล้างพิษเป็นหลักการหนึ่งของการแพทย์แผนธรรมชาติ มีความเป็นมาจากประเพณี และการแพทย์พื้นถิ่นของหลายชนชาติ เช่น การแพทย์พื้นถิ่นของยุโรปโดยฮิปโปเครติส ศาสตร์สุขภาพของอินเดีย อายุรเวท การงดกินของแสลงในผู้ป่วย หรือหญิงหลังคลอดในการแพทย์พื้นถิ่นของไทย การงดกินอาหารย่อยยากและดื่มแต่น้ำข้าวต้มยามเจ็บป่วยในการแพทย์แผนจีน การอดอาหารร่วมกับสมาธิ ธรรมโอสถ ในวัตรปฏิบัติของภิกษุสงฆ์ในพุทธศาสนา เป็นต้น
ปัจจุบันการล้างพิษกลายเป็นหลักปฏิบัติในศูนย์สุขภาพแนวธรรมชาติที่นำสมัยทั่วโลก อายุรเวทใช้ปัญจกรรมะ ได้แก่ การอดอาหารหรือกินแต่น้อย สวนล้างลำไส้ ถ่ายยา ล้างทางเดินหายใจ เพื่อล้างพิษและฟื้นคืนสุขภาพในคอร์สสุขภาพ 8 อ. (คอร์สล้างพิษตับ) ที่ศีรษะอโศก เราใช้วิธีล้างพิษออกจากร่างกายด้วย “กรรม 7” คือ การล้างพิษจากช่องปากด้วยน้ำมันมะพร้าว(Oil pulling) การอดอาหาร(Diet) การสวนล้างลำไส้ทั้งระบบด้วยกากไยอาหาร(food fiber detoxification) การล้างพิษตับด้วยน้ำมันมะกอกผสมน้ำมะนาว(Liver flush) การปรับสมดุลกรดด่างด้วยน้ำด่างขี้เถ้าพีเอช 8.5 การแช่เท้าและพอกหน้า เพื่อการฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย
แต่พิษที่เป็นสาเหตุแห่งพิษทั้งปวงนั้นตามหลักศาสนามาจากผลของจิตวิญญาณมีการสะสมกิเลสความโลภ โกรธ หลง ในระดับที่เพิ่มขึ้น โดยความโลภจะเป็นตัวแสดงออกที่เด่นชัดเป็นแรงผลักดันให้เกิดตัณหาหรือความอยาก จนทำให้เกิดการทำงานอย่างหนักเพื่อแสวงหาทรัพย์สินเงินทองมาสะสมโดยมีความเข้าใจว่าเป็นความสุข ผลจากความสำเร็จในการหาเงินทำให้เกิดอัตตา ตัวตน (Ego) ที่สูงขึ้น มีความยึดมั่น ถือมั่นในตนเองสูง เมื่อมีเงินแล้วก็แสวงหาความสุขโดยใช้เงินที่หามาได้มาบำเรอตนเองด้วยการ กิน สูบ ดื่ม เสพ ตามใจอยากของตนเอง พฤติกรรมดังกล่าวย่อมส่งผลให้ร่างกายเกิดการสะสมพิษจากการบริโภค และพิษจากภาวะความกดดันทางอารมณ์จากการทำงาน เมื่อสะสมถึงจุดหนึ่งจะทำให้เกิดภาวะความเจ็บป่วย เช่นโรคอ้วน มะเร็ง เบาหวาน ความดัน เป็นต้น เป็นความเจ็บป่วยที่ไม่ได้เกิดจากภาวะการติดเชื้อแต่เกิดจากพิษที่สะสมในจิตวิญญาณนั่นเอง ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาได้