*เคล็ดวิชา “5 กระบวนท่า” ของทิเบตขั้นสูง (ต่อ)”*
กระบวนท่าที่ห้า “กระตุ้นเซลล์สมองด้วยท่าพีระมิด”
(1) ก่อนอื่นคุกเข่าฝึกลมปราณสลับรูจมูกแบบ “ปราณายามะ” ในกระบวนท่าที่สามเป็นจำนวน 3 ครั้ง จากนั้นกางแขนเสมอไหล่แตะพื้น ยืดลำตัวออกไปให้ตรงใช้ปลายเท้ารองรับน้ำหนักตัวเหมือนกำลังอยู่ในท่าวิดพื้น ศีรษะ ลำคอ ร่างกายท่อนบน ขาอยู่ในแนวเส้นตรงจงนิ่งอยู่ในท่านี้ ชั่วครู่เพื่อภาวนาถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ (พลังกุณฑาลินี) ภายในตัวให้มาช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรง ดังที่เคยทำกับกระบวนท่าก่อนๆ กระบวนท่านี้ยังมีประสิทธิผลที่ดีกับตับ และกระดูกสันหลังเป็นพิเศษอีกด้วย
(2) จากนั้นค่อยๆ ยกเอวให้สูงขึ้นจนร่างกายเราก้นโด่ง เวลามองจากด้านข้างจะเป็นเหมือนพีระมิด ในขณะทำท่านี้ให้ทำพร้อมกับระบายลมหายใจออก พยายามยกเอวให้สูงเท่าที่จะสูงได้ ฝ่าเท้าควรพยายามแนบสนิทกับพื้น ใบหน้ามองไปที่ปลายเท้า ศีรษะกับกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรงเดียวกัน กระบวนท่านี้จะช่วยชำระเซลล์สมองให้สะอาด ทำให้เลือดไหลเข้าไปเลี้ยงสมองได้ดี ขณะทำท่านี้ขอให้ภาวนาในใจประกอบด้วยว่า ขอให้เซลล์สมองของเราจงดูดซับปราณเข้าไปฟอกเลือดให้สะอาด จนเซลล์สมองทุกเซลล์ทำงานอย่างแข็งขัน และกลับมาเยาว์วัยอีก
(3) ลดเอวลงจากท่าพีระมิด พร้อมกับดัดร่างกายท่อนบนไปด้านหลังดุจคันธนู จงแช่อยู่ในท่านี้ชั่วขณะ พร้อมกับบริกรรมมนต์ “โอม” เพื่อชำระปอดให้สะอาดโดยเพ่งจิตไปที่ปอด ก่อนจะกลับมาทำท่าพีระมิดใหม่ เมื่อจะเสร็จสิ้นกระบวนท่านี้ ให้ใช้เท้าเดินขณะอยู่ในท่าพีระมิด จนขาเข้าใกล้ลำตัวแล้วค่อยยืนขึ้น เอามือไขว้กันที่หน้าอก สำนึกขอบคุณพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในอยู่ในใจ
กระบวนท่าที่หก “สลับตำแหน่งดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ในร่างกาย”
ตามหลักของวิชาโยคะนั้น จะถือว่ามีดวงจันทร์อยู่ที่ศีรษะของคนเรา ขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่ที่บริเวณสะดือ การที่คนเรามี “ดวงอาทิตย์” อยู่ใต้ “ดวงจันทร์” เป็นสภาพที่วิชาโยคะเห็นว่า ไม่น่าพึงปรารถนา และไม่อาจชะลอวัยได้ เพราะฉะนั้น หากเราต้องการชะลอวัย และมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ตามหลักวิชาโยคะก็จะต้องสลับตำแหน่งของ “ดวงอาทิตย์” กับ “ดวงจันทร์” ในร่างกายของตน โดยต้องทำให้ “ดวงจันทร์” มาอยู่ใต้ “ดวงอาทิตย์” หรือเอาสะดือมาอยู่เหนือศีรษะนั่นเอง ด้วยเหตุนี้แหละ การฝึกหกสูง และการฝึกศีรษะอาสนะ (สาลัมพะศีรษะอาสนะ) จึงมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาวของร่างกายมาก จึงควรฝึกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
สาลัมพะหมายถึง พร้อมด้วยเครื่องค้ำยัน “สาลัมพะศีรษะอาสนะ” จึงหมายถึงท่าที่ยืนด้วยศีรษะ ซึ่งเป็นอาสนะหรือท่าที่สำคัญที่สุดในบรรดาโยคะอาสนะทั้งหมด จนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งอาสนะทั้งปวง ในการฝึกอาสนะท่านี้ ก่อนอื่นให้นำผ้าห่มมาพับซ้อนกันวางบนพื้น และคุกเข่าลงใกล้ๆ วางท่อนแขนลงตรงกึ่งกลางผ้าห่ม ระวังอย่าให้ระยะห่างระหว่างข้อศอกบนพื้นกว้างกว่าช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันจนแน่นสนิท โค้งฝ่ามือเป็นอุ้งคล้ายถ้วยใบหนึ่ง วางด้านนิ้วก้อยลงบนพื้น นิ้วมือที่ประสานกันจะต้องแนบสนิท
ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติอาสนะนี้ ก้มศีรษะลงจดพื้น ขยับศีรษะให้ท้ายทอยสัมผัสกับอุ้งมือทั้งสอง เลื่อนเข่าเข้ามาชิดข้อศอกให้เฉพาะส่วนยอดของศีรษะจดพื้น ไม่ใช่ส่วนหน้าหรือส่วนหลังของศีรษะ หลังจากจัดวางตำแหน่งของศีรษะจนได้ที่แล้ว ยกเข่าขึ้นขยับปลายเท้าเข้ามาชิดศีรษะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หายใจออก ดีดปลายเท้าเบาๆ เพื่อยกเท้าให้พ้นพื้นพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง โดยเข่ายังงออยู่ พับท่อนขาส่วนล่างเข้ามาชิดกับต้นขา ค่อยๆ ยกต้นขาขึ้นจนตั้งได้ฉากกับพื้นเข่าชี้ฟ้า ค่อยๆ เหยียดขาขึ้นจนท่อนขาทั้งหมดเหยียดตรง และร่างกายทั้งหมดตั้งได้ฉากกับพื้น จงอยู่ในท่านี้ 1-5 นาทีตามความสามารถ เมื่อชำนาญแล้วค่อยๆ เพิ่มเวลายาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจะกลับลงมาสู่พื้นให้ปฏิบัติย้อนลำดับที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ฝึกควรฝึกอาสนะนี้โดยมีคนคอยช่วยหรือไม่ก็ฝึกอาสนะนี้ที่หน้ากำแพงก่อน โดยระยะห่างระหว่างกำแพงกับศีรษะไม่ควรเกินสามนิ้วฟุต เพราะถ้าหากระยะห่างมากกว่านี้ กระดูกสันหลังจะโค้งงอ และส่วนท้องจะยื่นออกมา น้ำหนักตัวจะตกอยู่ที่ข้อศอกและตำแหน่งของศีรษะก็จะเปลี่ยนไป เมื่อฝึกอาสนะนี้กับกำแพงได้แล้ว ก็ควรลองฝึกที่กลางห้อง หรือบริเวณที่ห่างจากกำแพงโดยไม่ต้องพิงกำแพงอีกต่อไป
อนึ่ง ในการฝึกศีรษะอาสนะนี้นั้น น้ำหนักของร่างกายควรจะตกอยู่ที่ศีรษะ มิใช่ที่ท่อนแขนหรือมือทั้งสอง เพราะท่อนแขนและมือทั้งสองข้างใช้ค้ำเพียงเพื่อช่วยการทรงตัวเท่านั้น ท้ายทอย ลำตัว ด้านหลังของต้นขา และส้นเท้าควรอยู่ในแนวเส้นตรงตั้งได้ฉากกับพื้น ไม่เอนเอียงไปทานด้านข้างใดๆ คอ คาง และกระดูกหน้าอกควรอยู่ในแนวเส้นตรง มิฉะนั้นศีรษะจะเอียงหรือเคลื่อนไปข้างหน้า
สำหรับมือที่ประสานกันนั้น ฝ่ามือไม่ควรช้อนเข้าไปใต้ศีรษะด้านบน และด้านล่างของฝ่ามือ แต่ควรอยู่ในแนวเดียวกันเพื่อประคองศีรษะให้ส่วนยอดของศีรษะจดพื้นอย่างถูกต้อง ข้อศอกและไหล่ทั้งสองข้างควรอยู่ในแนวเดียวกัน และข้อศอกไม่ควรถ่างกว้างออกจากกัน ไหล่ควรจะห่างจากพื้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยการดันไหล่ขึ้น ควรพยายามนำเอาต้นขา เข่า ข้อเท้า และนิ้วหัวแม่เท้าเข้ามาชิดกันเท่าที่จะทำได้ จงยืดเท้าเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านหลังของต้นขาและหัวเข่า เพื่อให้ผู้ฝึกเกิดความรู้สึกโปร่งเบาทั่วร่างกาย แช่มชื่นเบิกบานจากการฝึกอาสนะท่านี้
ในขณะที่อยู่ในอาสนะนี้ ดวงตาของผู้ฝึกไม่ควรจะแดงก่ำ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าทำท่าดังกล่าวไม่ถูกต้อง การฝึกศีรษะอาสนะจะทำให้โลหิตไหลเวียนมาเลี้ยงสมองมากขึ้น ทำให้สมองมีความกระปรี้กระเปร่าทำหน้าที่ต่างๆ ได้ดีขึ้น ผู้ฝึกจะรู้สึกได้เองว่า ตัวเองมีพลังความคิดเพิ่มขึ้น ความคิดก็แจ่มชัดขึ้นด้วย ที่สำคัญมันยังช่วยขยายขอบเขตของจิตวิญญาณของผู้ฝึก ทำให้ผู้ฝึกกลายเป็นผู้ที่มีดุลยภาพในตัวเอง และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก ความพ่ายแพ้ และความสูญเสียทั้งปวงในชีวิต
สำหรับผู้ที่ยังทำท่าศีรษะอาสนะนี้ไม่ได้ ขอให้ฝึกท่าต่อไปนี้ทดแทนไปก่อน โดยนอนหงายหน้าบนพื้น ให้ก้นติดฝาผนัง แล้วยกขาทั้งสองขึ้นตั้งฉากกับลำตัวแนบกับฝาผนัง สองมือแนบลำตัว แล้วภาวนาถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในตัว ขอให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราจงกลับมาเยาว์วัยอีกครั้ง
กระบวนท่าที่เจ็ด “ยกระดับพลังทางเพศ”
(1) ก่อนอื่นยืนตัวตรง หลังตรง ขาชิด เท้าเหยียบพื้นเต็มเท้า จากนั้นค่อยๆ ร่นมือทั้งสองจากข้างสะดือ พร้อมกับก้มตัวไปข้างหน้า โดยโค้งศีรษะต่ำลงจนกระทั่งสองมือไปแตะที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ในขณะที่ก้มลำตัวให้หายใจออก โดยตั้งใจให้ระบายลมหายใจออกจากปอดให้หมดเมื่อมือแตะถึงหัวเข่า จากนั้นจึงค่อยหายใจเข้าช้าๆ
(2) เสร็จแล้วให้กักลมหายใจ พร้อมกับนวดหัวเข่าทั้งสองข้างเพื่อกระตุ้นการหมุนของจักระที่หัวเข่า ขณะเดียวกัน ก็เสียดสีต้นขาเบาๆ รวมทั้งนวดเฟ้นบริเวณอวัยวะเพศเพื่อกระตุ้นพลังทางเพศให้ตื่นตัว จากนั้นค่อยๆ ยกลำตัวท่อนบนขึ้นตั้งตรง เอามือวางที่เอวระบายลมหายใจออกจากปอดให้หมด แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าไปใหม่ พร้อมกับดึงพลังทางเพศขึ้นข้างบนตามแนวกระดูกสันหลังไปจนถึงยอดศีรษะแล้วไหลผ่านหน้าผากลงมาที่ทรวงอก ก่อนที่จะระบายลมหายใจออก เสร็จแล้วให้ก้มตัวลงไปข้างหน้าใหม่ ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
(3) ในระหว่างที่ทำกระบวนท่านี้อยู่ ขอให้ภาวนาถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ (พลังกุณฑาลินี) ภายในตัว จงโปรดประทานพลังอันยิ่งใหญ่แก่ตัวเราเพื่อให้ตัวเราเป็นผู้ชนะในชีวิตนี้ และสามารถยกระดับไปสู่มิติที่สูงส่งกว่านี้ได้ด้วย
...ในโมเดล “โยคะ” ของศาสตร์ชะลอวัยเชิงบูรณาการนั้น นอกจากจะให้ความสำคัญกับการทำให้จักระต่างๆ ในร่างกายหมุนด้วยอัตราความเร็วสูงอยู่เสมอแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับ “กายนอก” (กายเนื้อ) กับ “กายใน” (กายทิพย์) ควบคู่กันไปอีกด้วย
www.dragon-press.com
กระบวนท่าที่ห้า “กระตุ้นเซลล์สมองด้วยท่าพีระมิด”
(1) ก่อนอื่นคุกเข่าฝึกลมปราณสลับรูจมูกแบบ “ปราณายามะ” ในกระบวนท่าที่สามเป็นจำนวน 3 ครั้ง จากนั้นกางแขนเสมอไหล่แตะพื้น ยืดลำตัวออกไปให้ตรงใช้ปลายเท้ารองรับน้ำหนักตัวเหมือนกำลังอยู่ในท่าวิดพื้น ศีรษะ ลำคอ ร่างกายท่อนบน ขาอยู่ในแนวเส้นตรงจงนิ่งอยู่ในท่านี้ ชั่วครู่เพื่อภาวนาถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ (พลังกุณฑาลินี) ภายในตัวให้มาช่วยให้ร่างกายเราแข็งแรง ดังที่เคยทำกับกระบวนท่าก่อนๆ กระบวนท่านี้ยังมีประสิทธิผลที่ดีกับตับ และกระดูกสันหลังเป็นพิเศษอีกด้วย
(2) จากนั้นค่อยๆ ยกเอวให้สูงขึ้นจนร่างกายเราก้นโด่ง เวลามองจากด้านข้างจะเป็นเหมือนพีระมิด ในขณะทำท่านี้ให้ทำพร้อมกับระบายลมหายใจออก พยายามยกเอวให้สูงเท่าที่จะสูงได้ ฝ่าเท้าควรพยายามแนบสนิทกับพื้น ใบหน้ามองไปที่ปลายเท้า ศีรษะกับกระดูกสันหลังเป็นเส้นตรงเดียวกัน กระบวนท่านี้จะช่วยชำระเซลล์สมองให้สะอาด ทำให้เลือดไหลเข้าไปเลี้ยงสมองได้ดี ขณะทำท่านี้ขอให้ภาวนาในใจประกอบด้วยว่า ขอให้เซลล์สมองของเราจงดูดซับปราณเข้าไปฟอกเลือดให้สะอาด จนเซลล์สมองทุกเซลล์ทำงานอย่างแข็งขัน และกลับมาเยาว์วัยอีก
(3) ลดเอวลงจากท่าพีระมิด พร้อมกับดัดร่างกายท่อนบนไปด้านหลังดุจคันธนู จงแช่อยู่ในท่านี้ชั่วขณะ พร้อมกับบริกรรมมนต์ “โอม” เพื่อชำระปอดให้สะอาดโดยเพ่งจิตไปที่ปอด ก่อนจะกลับมาทำท่าพีระมิดใหม่ เมื่อจะเสร็จสิ้นกระบวนท่านี้ ให้ใช้เท้าเดินขณะอยู่ในท่าพีระมิด จนขาเข้าใกล้ลำตัวแล้วค่อยยืนขึ้น เอามือไขว้กันที่หน้าอก สำนึกขอบคุณพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในอยู่ในใจ
กระบวนท่าที่หก “สลับตำแหน่งดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ในร่างกาย”
ตามหลักของวิชาโยคะนั้น จะถือว่ามีดวงจันทร์อยู่ที่ศีรษะของคนเรา ขณะที่ดวงอาทิตย์อยู่ที่บริเวณสะดือ การที่คนเรามี “ดวงอาทิตย์” อยู่ใต้ “ดวงจันทร์” เป็นสภาพที่วิชาโยคะเห็นว่า ไม่น่าพึงปรารถนา และไม่อาจชะลอวัยได้ เพราะฉะนั้น หากเราต้องการชะลอวัย และมีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ ตามหลักวิชาโยคะก็จะต้องสลับตำแหน่งของ “ดวงอาทิตย์” กับ “ดวงจันทร์” ในร่างกายของตน โดยต้องทำให้ “ดวงจันทร์” มาอยู่ใต้ “ดวงอาทิตย์” หรือเอาสะดือมาอยู่เหนือศีรษะนั่นเอง ด้วยเหตุนี้แหละ การฝึกหกสูง และการฝึกศีรษะอาสนะ (สาลัมพะศีรษะอาสนะ) จึงมีความสำคัญต่อการฟื้นฟูความเป็นหนุ่มสาวของร่างกายมาก จึงควรฝึกให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
สาลัมพะหมายถึง พร้อมด้วยเครื่องค้ำยัน “สาลัมพะศีรษะอาสนะ” จึงหมายถึงท่าที่ยืนด้วยศีรษะ ซึ่งเป็นอาสนะหรือท่าที่สำคัญที่สุดในบรรดาโยคะอาสนะทั้งหมด จนได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งอาสนะทั้งปวง ในการฝึกอาสนะท่านี้ ก่อนอื่นให้นำผ้าห่มมาพับซ้อนกันวางบนพื้น และคุกเข่าลงใกล้ๆ วางท่อนแขนลงตรงกึ่งกลางผ้าห่ม ระวังอย่าให้ระยะห่างระหว่างข้อศอกบนพื้นกว้างกว่าช่วงไหล่ ประสานนิ้วมือเข้าด้วยกันจนแน่นสนิท โค้งฝ่ามือเป็นอุ้งคล้ายถ้วยใบหนึ่ง วางด้านนิ้วก้อยลงบนพื้น นิ้วมือที่ประสานกันจะต้องแนบสนิท
ตลอดระยะเวลาในการปฏิบัติอาสนะนี้ ก้มศีรษะลงจดพื้น ขยับศีรษะให้ท้ายทอยสัมผัสกับอุ้งมือทั้งสอง เลื่อนเข่าเข้ามาชิดข้อศอกให้เฉพาะส่วนยอดของศีรษะจดพื้น ไม่ใช่ส่วนหน้าหรือส่วนหลังของศีรษะ หลังจากจัดวางตำแหน่งของศีรษะจนได้ที่แล้ว ยกเข่าขึ้นขยับปลายเท้าเข้ามาชิดศีรษะมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หายใจออก ดีดปลายเท้าเบาๆ เพื่อยกเท้าให้พ้นพื้นพร้อมๆ กันทั้งสองข้าง โดยเข่ายังงออยู่ พับท่อนขาส่วนล่างเข้ามาชิดกับต้นขา ค่อยๆ ยกต้นขาขึ้นจนตั้งได้ฉากกับพื้นเข่าชี้ฟ้า ค่อยๆ เหยียดขาขึ้นจนท่อนขาทั้งหมดเหยียดตรง และร่างกายทั้งหมดตั้งได้ฉากกับพื้น จงอยู่ในท่านี้ 1-5 นาทีตามความสามารถ เมื่อชำนาญแล้วค่อยๆ เพิ่มเวลายาวขึ้นเรื่อยๆ เมื่อจะกลับลงมาสู่พื้นให้ปฏิบัติย้อนลำดับที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ฝึกควรฝึกอาสนะนี้โดยมีคนคอยช่วยหรือไม่ก็ฝึกอาสนะนี้ที่หน้ากำแพงก่อน โดยระยะห่างระหว่างกำแพงกับศีรษะไม่ควรเกินสามนิ้วฟุต เพราะถ้าหากระยะห่างมากกว่านี้ กระดูกสันหลังจะโค้งงอ และส่วนท้องจะยื่นออกมา น้ำหนักตัวจะตกอยู่ที่ข้อศอกและตำแหน่งของศีรษะก็จะเปลี่ยนไป เมื่อฝึกอาสนะนี้กับกำแพงได้แล้ว ก็ควรลองฝึกที่กลางห้อง หรือบริเวณที่ห่างจากกำแพงโดยไม่ต้องพิงกำแพงอีกต่อไป
อนึ่ง ในการฝึกศีรษะอาสนะนี้นั้น น้ำหนักของร่างกายควรจะตกอยู่ที่ศีรษะ มิใช่ที่ท่อนแขนหรือมือทั้งสอง เพราะท่อนแขนและมือทั้งสองข้างใช้ค้ำเพียงเพื่อช่วยการทรงตัวเท่านั้น ท้ายทอย ลำตัว ด้านหลังของต้นขา และส้นเท้าควรอยู่ในแนวเส้นตรงตั้งได้ฉากกับพื้น ไม่เอนเอียงไปทานด้านข้างใดๆ คอ คาง และกระดูกหน้าอกควรอยู่ในแนวเส้นตรง มิฉะนั้นศีรษะจะเอียงหรือเคลื่อนไปข้างหน้า
สำหรับมือที่ประสานกันนั้น ฝ่ามือไม่ควรช้อนเข้าไปใต้ศีรษะด้านบน และด้านล่างของฝ่ามือ แต่ควรอยู่ในแนวเดียวกันเพื่อประคองศีรษะให้ส่วนยอดของศีรษะจดพื้นอย่างถูกต้อง ข้อศอกและไหล่ทั้งสองข้างควรอยู่ในแนวเดียวกัน และข้อศอกไม่ควรถ่างกว้างออกจากกัน ไหล่ควรจะห่างจากพื้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ โดยการดันไหล่ขึ้น ควรพยายามนำเอาต้นขา เข่า ข้อเท้า และนิ้วหัวแม่เท้าเข้ามาชิดกันเท่าที่จะทำได้ จงยืดเท้าเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านหลังของต้นขาและหัวเข่า เพื่อให้ผู้ฝึกเกิดความรู้สึกโปร่งเบาทั่วร่างกาย แช่มชื่นเบิกบานจากการฝึกอาสนะท่านี้
ในขณะที่อยู่ในอาสนะนี้ ดวงตาของผู้ฝึกไม่ควรจะแดงก่ำ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น แสดงว่าทำท่าดังกล่าวไม่ถูกต้อง การฝึกศีรษะอาสนะจะทำให้โลหิตไหลเวียนมาเลี้ยงสมองมากขึ้น ทำให้สมองมีความกระปรี้กระเปร่าทำหน้าที่ต่างๆ ได้ดีขึ้น ผู้ฝึกจะรู้สึกได้เองว่า ตัวเองมีพลังความคิดเพิ่มขึ้น ความคิดก็แจ่มชัดขึ้นด้วย ที่สำคัญมันยังช่วยขยายขอบเขตของจิตวิญญาณของผู้ฝึก ทำให้ผู้ฝึกกลายเป็นผู้ที่มีดุลยภาพในตัวเอง และมีความเชื่อมั่นในตัวเอง กล้าที่จะเผชิญหน้ากับความทุกข์ยาก ความพ่ายแพ้ และความสูญเสียทั้งปวงในชีวิต
สำหรับผู้ที่ยังทำท่าศีรษะอาสนะนี้ไม่ได้ ขอให้ฝึกท่าต่อไปนี้ทดแทนไปก่อน โดยนอนหงายหน้าบนพื้น ให้ก้นติดฝาผนัง แล้วยกขาทั้งสองขึ้นตั้งฉากกับลำตัวแนบกับฝาผนัง สองมือแนบลำตัว แล้วภาวนาถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ภายในตัว ขอให้เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราจงกลับมาเยาว์วัยอีกครั้ง
กระบวนท่าที่เจ็ด “ยกระดับพลังทางเพศ”
(1) ก่อนอื่นยืนตัวตรง หลังตรง ขาชิด เท้าเหยียบพื้นเต็มเท้า จากนั้นค่อยๆ ร่นมือทั้งสองจากข้างสะดือ พร้อมกับก้มตัวไปข้างหน้า โดยโค้งศีรษะต่ำลงจนกระทั่งสองมือไปแตะที่หัวเข่าทั้งสองข้าง ในขณะที่ก้มลำตัวให้หายใจออก โดยตั้งใจให้ระบายลมหายใจออกจากปอดให้หมดเมื่อมือแตะถึงหัวเข่า จากนั้นจึงค่อยหายใจเข้าช้าๆ
(2) เสร็จแล้วให้กักลมหายใจ พร้อมกับนวดหัวเข่าทั้งสองข้างเพื่อกระตุ้นการหมุนของจักระที่หัวเข่า ขณะเดียวกัน ก็เสียดสีต้นขาเบาๆ รวมทั้งนวดเฟ้นบริเวณอวัยวะเพศเพื่อกระตุ้นพลังทางเพศให้ตื่นตัว จากนั้นค่อยๆ ยกลำตัวท่อนบนขึ้นตั้งตรง เอามือวางที่เอวระบายลมหายใจออกจากปอดให้หมด แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าไปใหม่ พร้อมกับดึงพลังทางเพศขึ้นข้างบนตามแนวกระดูกสันหลังไปจนถึงยอดศีรษะแล้วไหลผ่านหน้าผากลงมาที่ทรวงอก ก่อนที่จะระบายลมหายใจออก เสร็จแล้วให้ก้มตัวลงไปข้างหน้าใหม่ ทำเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก
(3) ในระหว่างที่ทำกระบวนท่านี้อยู่ ขอให้ภาวนาถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ (พลังกุณฑาลินี) ภายในตัว จงโปรดประทานพลังอันยิ่งใหญ่แก่ตัวเราเพื่อให้ตัวเราเป็นผู้ชนะในชีวิตนี้ และสามารถยกระดับไปสู่มิติที่สูงส่งกว่านี้ได้ด้วย
...ในโมเดล “โยคะ” ของศาสตร์ชะลอวัยเชิงบูรณาการนั้น นอกจากจะให้ความสำคัญกับการทำให้จักระต่างๆ ในร่างกายหมุนด้วยอัตราความเร็วสูงอยู่เสมอแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญกับ “กายนอก” (กายเนื้อ) กับ “กายใน” (กายทิพย์) ควบคู่กันไปอีกด้วย
www.dragon-press.com