เอเจนซีส์ – นีล อัลเดน อาร์มสตรอง นักบินอวกาศคนแรกที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ เสียชีวิตแล้วด้วยวัย 82 ปีเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (25)
อาร์มสตรองเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนภายหลังเข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจเมื่อต้นเดือน
ในฐานะผู้บังคับการยานอะพอลโล 11 อาร์มสตรองเป็นมนุษย์คนแรกที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 คำพูดของเขาที่กล่าวเอาไว้ขณะก้าวเหยียบพื้นดวงจันทร์ว่า “นี่คือก้าวเล็กๆมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษยชาติ” กลายเป็นหนึ่งในประโยคภาษาอังกฤษที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก
การขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ของนักบินอวกาศจากยานอะพอลโล 11 ทำให้ชาวอเมริกันปลาบปลื้มกับความสำเร็จและชัยชนะในการแข่งขันในสงครามอวกาศกับสหภาพโซเวียต คู่แค้นในยุคสงครามเย็น
ณ เวลานั้น อาร์มสตรอง อายุเพียง 38 ปี กระนั้น แม้ได้ขึ้นสู่จุดสุดยอดแห่งความสำเร็จของมนุษยชาติ แต่เขากลับไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จนั้น ซ้ำดูเหมือนไม่พอใจกับคำสรรเสริญเยินยอ
ครั้งหนึ่งเมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการรู้ว่ารอยเท้าของตนจะคงอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ไปอีกนับร้อยนับพันปี อาร์มสตรองตอบว่า “ผมหวังว่าวันหนึ่งจะมีคนอื่นขึ้นไปลบรอยเท้าพวกนั้นให้”
ภารกิจเยือนดวงจันทร์ของยานอะพอลโล 11 กลายเป็นการบินเที่ยวสุดท้ายของอาร์มสตรอง ปีต่อมาเขาได้งานนั่งโต๊ะ ในตำแหน่งรองผู้บริหารดูแลด้านการออกแบบยาน ในสำนักวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง ของนาซา
หลังออกมาจากนาซาแล้ว อาร์มสตรองยิ่งค่อนข้างเก็บตัว เขาไม่รับบทบาทสำคัญใดๆ ในพิธีฉลอง 25 ปีการสำรวจดวงจันทร์
อาร์มสตรองเกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1930 ในเมืองวาปาโคนิตา มลรัฐโอไฮโอ เป็นลูกคนโตจากลูกทั้งหมด 3 คนของ สตีเฟน และ ไวโอลา อาร์มสตรอง เขาแต่งงานกับเจเน็ต เชียรอน คู่รักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในปี 1956 และหย่ากันในปี 1994 และแต่งงานใหม่กับแครอล ไนต์ ในปีเดียวกัน
เขาหลงใหลเครื่องบินตั้งแต่ยังเล็ก เข้าเรียนการบินเมื่ออายุ 15 ปี และได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 16
สมัยมัธยมปลาย อาร์มสตรองทำคะแนนได้ดีในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และได้ทุนกองทัพเรือเรียนต่อมหาวิทยาลัยเพอร์ดิว ในมลรัฐอินดีแอนา ในปี 1974 แต่หลังจากนั้น 2 ปี เขาไปรับใช้ชาติในตำแหน่งนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ เข้าร่วมภารกิจในสงครามเกาหลี และได้เหรียญกล้าหาญ 3 เหรียญ
หลังจากกลับมาเรียนต่อจนจบปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมอวกาศปี 1955 อาร์มสตรองเข้าทำงานกับคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาด้านอวกาศแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรก่อนที่จะพัฒนาเป็นนาซ่าในปี 1958
ที่นาซา เขาทำงานในหน่วยยานขับเคลื่อนเร็วที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดส์ในแคลิฟอร์เนีย 7 ปีก่อนกลายเป็นนักบินที่ดีที่สุดในโลก อาร์มสตรองได้ขับจรวดทดสอบ X-15 ที่ความสูง 200,000 ฟุต ความเร็ว 6,435 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เดือนกันยายน 1962 อาร์มสตรองได้รับเลือกจากนาซาให้เป็นนักบินอวกาศ และเป็นผู้บังคับการเที่ยวบินเจมินี 8 และผู้บังคับการสำรองของเจมินี 11 ซึ่งมีขึ้นในปี 1966 ทั้งสองภารกิจ
ในภารกิจเจมินี 8 นั้น อาร์มสตรองและเดวิด สก็อตต์ นักบินอวกาศอีกคน ประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อยานในอวกาศครั้งแรก
อาร์มสตรองนำทักษะการบินที่สั่งสมมาใช้ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ โดยเขาและเอ็ดวิน อัลดริน ควบคุมการลงจอดเองและทำให้อะพอลโล 11 ไม่ต้องลงจอดบนแอ่งหินขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ กระนั้น การลงจอดไม่ได้ปลอดความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง เพราะขณะลงจอด ยานเหลือเชื้อเพลิงอีกเพียง 30 วินาที แต่หลังจากลงจอดสำเร็จ อาร์มสตรองได้ติดต่อวิทยุกลับไปยังศูนย์ควบคุมบนโลกว่า “เรียกฮุสตัน นี่คือฐานแห่งความสงบ อีเกิลลงจอดแล้ว” ท่ามกลางความยินดีระคนโล่งใจของคน 500 ล้านคนที่ติดตามชมการถ่ายทอดสดทั่วโลก
อัลดรินกล่าวกับสถานีวิทยุบีบีซีว่า เขาจะจดจำอาร์มสตรองในภาพผู้บังคับการที่มีความสามารถ และผู้นำแห่งความสำเร็จที่จะเป็นที่จดจำอีกนานแสนนานจนกว่ามนุษย์จะขึ้นไปประทับรอยเท้าบนดาวอังคาร
อัลดรินเสริมว่า เขาเคยหวังว่าตนเอง อาร์มสตรอง และ ไมเคิล คอลลินส์ จะได้พบกันอีกครั้งในปี 2019 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปียานอพอลโล 11 ทว่า คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
อาร์มสตรองลาออกจากนาซา 1 ปีหลังภารกิจอะพอลโล 11 และเป็นศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมที่มหาวิทยาลัยซินซินเนติ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า อาร์มสตรองเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกาตลอดกาล
จอห์น เกล็นน์ นักบินอวกาศชาวอเมริกันคนที่ 3 และเป็นบุคคลแรกที่ได้โคจรรอบโลก กล่าวถึงวีรบุรุษผู้ล่วงลับว่า “เขายินดีแสดงความกล้าหาญเพื่อประเทศชาติและภูมิใจที่ได้ทำแบบนั้น แต่ขณะเดียวกัน เขายังเป็นคนที่ถ่อมตัวอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ”
ครอบครัวของอาร์มสตรองแสดงความหวังว่า เยาวชนทั่วโลกจะได้รับแรงบันดาลใจจากอาร์มสตรองในการมุ่งมั่นพยายามเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง
“ครั้งต่อไปที่เดินเล่นในค่ำคืนที่สว่างไสว และมองเห็นดวงจันทร์ยิ้มให้ ขอให้พวกคุณคิดถึงนีล อาร์มสตรอง และขยิบตาส่งกลับไปให้เขา”
อาร์มสตรองเสียชีวิตจากอาการแทรกซ้อนภายหลังเข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจเมื่อต้นเดือน
ในฐานะผู้บังคับการยานอะพอลโล 11 อาร์มสตรองเป็นมนุษย์คนแรกที่ขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 1969 คำพูดของเขาที่กล่าวเอาไว้ขณะก้าวเหยียบพื้นดวงจันทร์ว่า “นี่คือก้าวเล็กๆมนุษย์คนหนึ่ง แต่เป็นก้าวกระโดดที่ยิ่งใหญ่สำหรับมวลมนุษยชาติ” กลายเป็นหนึ่งในประโยคภาษาอังกฤษที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในโลก
การขึ้นไปสำรวจดวงจันทร์ของนักบินอวกาศจากยานอะพอลโล 11 ทำให้ชาวอเมริกันปลาบปลื้มกับความสำเร็จและชัยชนะในการแข่งขันในสงครามอวกาศกับสหภาพโซเวียต คู่แค้นในยุคสงครามเย็น
ณ เวลานั้น อาร์มสตรอง อายุเพียง 38 ปี กระนั้น แม้ได้ขึ้นสู่จุดสุดยอดแห่งความสำเร็จของมนุษยชาติ แต่เขากลับไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มกับความสำเร็จนั้น ซ้ำดูเหมือนไม่พอใจกับคำสรรเสริญเยินยอ
ครั้งหนึ่งเมื่อถูกถามว่า รู้สึกอย่างไรกับการรู้ว่ารอยเท้าของตนจะคงอยู่บนพื้นผิวดวงจันทร์ไปอีกนับร้อยนับพันปี อาร์มสตรองตอบว่า “ผมหวังว่าวันหนึ่งจะมีคนอื่นขึ้นไปลบรอยเท้าพวกนั้นให้”
ภารกิจเยือนดวงจันทร์ของยานอะพอลโล 11 กลายเป็นการบินเที่ยวสุดท้ายของอาร์มสตรอง ปีต่อมาเขาได้งานนั่งโต๊ะ ในตำแหน่งรองผู้บริหารดูแลด้านการออกแบบยาน ในสำนักวิจัยและเทคโนโลยีขั้นสูง ของนาซา
หลังออกมาจากนาซาแล้ว อาร์มสตรองยิ่งค่อนข้างเก็บตัว เขาไม่รับบทบาทสำคัญใดๆ ในพิธีฉลอง 25 ปีการสำรวจดวงจันทร์
อาร์มสตรองเกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 1930 ในเมืองวาปาโคนิตา มลรัฐโอไฮโอ เป็นลูกคนโตจากลูกทั้งหมด 3 คนของ สตีเฟน และ ไวโอลา อาร์มสตรอง เขาแต่งงานกับเจเน็ต เชียรอน คู่รักตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ในปี 1956 และหย่ากันในปี 1994 และแต่งงานใหม่กับแครอล ไนต์ ในปีเดียวกัน
เขาหลงใหลเครื่องบินตั้งแต่ยังเล็ก เข้าเรียนการบินเมื่ออายุ 15 ปี และได้รับใบอนุญาตขับเครื่องบินในวันครบรอบวันเกิดปีที่ 16
สมัยมัธยมปลาย อาร์มสตรองทำคะแนนได้ดีในวิชาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ และได้ทุนกองทัพเรือเรียนต่อมหาวิทยาลัยเพอร์ดิว ในมลรัฐอินดีแอนา ในปี 1974 แต่หลังจากนั้น 2 ปี เขาไปรับใช้ชาติในตำแหน่งนักบินกองทัพเรือสหรัฐฯ เข้าร่วมภารกิจในสงครามเกาหลี และได้เหรียญกล้าหาญ 3 เหรียญ
หลังจากกลับมาเรียนต่อจนจบปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมอวกาศปี 1955 อาร์มสตรองเข้าทำงานกับคณะกรรมาธิการที่ปรึกษาด้านอวกาศแห่งชาติ ซึ่งเป็นองค์กรก่อนที่จะพัฒนาเป็นนาซ่าในปี 1958
ที่นาซา เขาทำงานในหน่วยยานขับเคลื่อนเร็วที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ดส์ในแคลิฟอร์เนีย 7 ปีก่อนกลายเป็นนักบินที่ดีที่สุดในโลก อาร์มสตรองได้ขับจรวดทดสอบ X-15 ที่ความสูง 200,000 ฟุต ความเร็ว 6,435 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
เดือนกันยายน 1962 อาร์มสตรองได้รับเลือกจากนาซาให้เป็นนักบินอวกาศ และเป็นผู้บังคับการเที่ยวบินเจมินี 8 และผู้บังคับการสำรองของเจมินี 11 ซึ่งมีขึ้นในปี 1966 ทั้งสองภารกิจ
ในภารกิจเจมินี 8 นั้น อาร์มสตรองและเดวิด สก็อตต์ นักบินอวกาศอีกคน ประสบความสำเร็จในการเชื่อมต่อยานในอวกาศครั้งแรก
อาร์มสตรองนำทักษะการบินที่สั่งสมมาใช้ในภารกิจสำรวจดวงจันทร์ โดยเขาและเอ็ดวิน อัลดริน ควบคุมการลงจอดเองและทำให้อะพอลโล 11 ไม่ต้องลงจอดบนแอ่งหินขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ กระนั้น การลงจอดไม่ได้ปลอดความเสี่ยงโดยสิ้นเชิง เพราะขณะลงจอด ยานเหลือเชื้อเพลิงอีกเพียง 30 วินาที แต่หลังจากลงจอดสำเร็จ อาร์มสตรองได้ติดต่อวิทยุกลับไปยังศูนย์ควบคุมบนโลกว่า “เรียกฮุสตัน นี่คือฐานแห่งความสงบ อีเกิลลงจอดแล้ว” ท่ามกลางความยินดีระคนโล่งใจของคน 500 ล้านคนที่ติดตามชมการถ่ายทอดสดทั่วโลก
อัลดรินกล่าวกับสถานีวิทยุบีบีซีว่า เขาจะจดจำอาร์มสตรองในภาพผู้บังคับการที่มีความสามารถ และผู้นำแห่งความสำเร็จที่จะเป็นที่จดจำอีกนานแสนนานจนกว่ามนุษย์จะขึ้นไปประทับรอยเท้าบนดาวอังคาร
อัลดรินเสริมว่า เขาเคยหวังว่าตนเอง อาร์มสตรอง และ ไมเคิล คอลลินส์ จะได้พบกันอีกครั้งในปี 2019 เพื่อฉลองครบรอบ 50 ปียานอพอลโล 11 ทว่า คงเป็นไปไม่ได้แล้ว
อาร์มสตรองลาออกจากนาซา 1 ปีหลังภารกิจอะพอลโล 11 และเป็นศาสตราจารย์สาขาวิศวกรรมที่มหาวิทยาลัยซินซินเนติ
ประธานาธิบดีบารัค โอบามา กล่าวว่า อาร์มสตรองเป็นหนึ่งในวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ของอเมริกาตลอดกาล
จอห์น เกล็นน์ นักบินอวกาศชาวอเมริกันคนที่ 3 และเป็นบุคคลแรกที่ได้โคจรรอบโลก กล่าวถึงวีรบุรุษผู้ล่วงลับว่า “เขายินดีแสดงความกล้าหาญเพื่อประเทศชาติและภูมิใจที่ได้ทำแบบนั้น แต่ขณะเดียวกัน เขายังเป็นคนที่ถ่อมตัวอย่างที่เคยเป็นมาเสมอ”
ครอบครัวของอาร์มสตรองแสดงความหวังว่า เยาวชนทั่วโลกจะได้รับแรงบันดาลใจจากอาร์มสตรองในการมุ่งมั่นพยายามเพื่อทำความฝันให้เป็นความจริง
“ครั้งต่อไปที่เดินเล่นในค่ำคืนที่สว่างไสว และมองเห็นดวงจันทร์ยิ้มให้ ขอให้พวกคุณคิดถึงนีล อาร์มสตรอง และขยิบตาส่งกลับไปให้เขา”