เอเจนซีส์ – “มือปืนแบทแมน”ที่บุกยิงในโรงหนังมลรัฐโคโลราโด สังหารเหยื่อ 12 คน และบาดเจ็บอีก 58 คน ถูกตั้งข้อหารวมทั้งสิ้น 142 กระทงเมื่อวันจันทร์(30ก.ค.) ในจำนวนนี้เป็นเรื่องฆ่าคนตายโดยเจตนา 24 กระทง นอกจากนั้นเป็นข้อหาพยายามฆ่าและมีระเบิดในครอบครอง ผู้เชี่ยวชาญชี้จำเลยมีสิทธิถูกประหารชีวิตหากศาลตัดสินว่าผิดจริง
เจมส์ โฮล์มส์ หนุ่มวัย 24 ปีเพิ่งพ้นจากการเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก และถูกจับกุมทันทีภายหลังก่อเหตุกราดยิงในโรงหนังในเมืองออโรรา รัฐโคโลราโดซึ่งกำลังฉาย “เดอะ ดาร์ก ไนต์ส” เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา
นอกจากข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา 24 กระทง จากการสังหารผู้คนในโรงหนังตายไป 12 คนแล้ว เขาถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่ารวม 116 กระทงสำหรับการกระทำซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 58 คนโดยบางคนยังมีอาการสาหัส รวมทั้งข้อกล่าวหาก่อความรุนแรง 1 กระทง และมีระเบิดในครอบครองอีก 1 กระทง เพราะจากการตรวจค้นที่พักของเขา ตำรวจพบว่า โฮล์มส์เดินสายวางระเบิดที่มีอานุภาพเพียงพอทำลายอาคาร 3 ชั้นหลังนั้น
สำนักงานของแครอล แชมเบอร์ อัยการแขวงอราพาโฮ เคาน์ตี้ ตั้งข้อหาโฮล์ม 2 กระทงสำหรับผู้เสียชีวิตแต่ละคน โดยกระทงหนึ่งสำหรับการฆ่าโดยไตร่ตรองล่วงหน้า และอีกกระทงสำหรับการมุ่งร้ายโดยไม่ใส่ใจต่อชีวิตมนุษย์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า การที่อัยการตั้งข้อหาในลักษณะนี้ก็เพื่อเพิ่มทางเลือกให้คณะลูกขุนตัดสินว่าโฮล์มมีความผิดจริง
อัยการเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (29) ว่า ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการตัดสินใจว่าสมควรนำโทษประหารมาใช้กับคดีนี้หรือไม่ โดยที่ผ่านมา มีนักโทษเพียงคนเดียวที่ถูกประหารในมลรัฐโคโลราโดนับจากมีการรื้อฟื้นโทษนี้กลับมาบังคับใช้ในปี 1976
ทางด้านโฮล์มส์ปรากฏตัวในศาลด้วยอาการสงบและมีสติมากกว่าในการขึ้นศาลครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลอด 45 นาทีที่อยู่ในศาล อดีตนักศึกษาปริญญาเอกก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่ และเปิดปากพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นว่า “ครับ” เมื่อผู้พิพากษาวิลเลียม ซิลเวสเตอร์ถามว่า เขาต้องการเพิกถอนสิทธิในการไต่สวนขั้นต้นหรือไม่
ระหว่างการไต่สวนในวันจันทร์ ทามารา เบรดี้ ทนายความจำเลย เรียกร้องให้สำนักงานอัยการส่งคืนหลักฐานในคดี ได้แก่ พัสดุที่สื่อมวลชนรายงานว่า ส่งถึงดร.ลินน์ เฟนตัน จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคโลราโด ทว่า ทางอัยการตอบกลับว่า ยังไม่ได้เปิดพัสดุดังกล่าว ซึ่งตามการรายงานของฟ็อกซ์ นิวส์นั้น ในพัสดุดังกล่าว มีสมุดโน้ตบรรยายแผนการสังหารหมู่ของโฮล์มพร้อมภาพร่างประกอบ
ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทนายความของโฮล์มส์ยังเปิดเผยว่า ลูกความของตนเป็นคนไข้ของดร.เฟนตัน
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า สภาพจิตของโฮล์มอาจมีบทบาทสำคัญต่อรูปคดี โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เผยว่า ภายหลังถูกจับกุม โฮล์มส์เรียกตัวเองว่า “โจ๊กเกอร์” หรือตัวร้ายในหนังแบทแมนที่ฉายอยู่ขณะที่เขาก่อเหตุ
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์กันว่า ความเครียดจากการสอบปากเปล่าสำคัญไม่ผ่าน จนต้องพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาปริญญาเอก อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้โฮล์มส์ก่อเหตุสังหารหมู่ โดยสถานีโทรทัศน์เคเอ็มจีเอช-ทีวีในเครือเอบีซี นิวส์ รายงานว่า โฮล์มส์ซื้อปืนไรเฟิลอัตโนมัติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน หลังจากสอบปากเปล่าไม่ผ่านไม่กี่ชั่วโมง และถัดมา 3 วันเขาลาออกจากโครงการปริญญาเอก สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ วิทยาเขตแพทศาสตร์แอนชูลซ์ มหาวิทยาลัยโคโรลาโด
แม้การสังหารหมู่ครั้งนี้ที่ถือว่ารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกา ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทว่าเรื่องนี้ก็ยังดูจะไม่เพียงพอที่จะทำให้มีเจตนารมณ์ร่วมกันทางการเมืองในการแก้ไขกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะเวลาที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังจะมีขึ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้า
เจมส์ โฮล์มส์ หนุ่มวัย 24 ปีเพิ่งพ้นจากการเป็นนักศึกษาระดับปริญญาเอก และถูกจับกุมทันทีภายหลังก่อเหตุกราดยิงในโรงหนังในเมืองออโรรา รัฐโคโลราโดซึ่งกำลังฉาย “เดอะ ดาร์ก ไนต์ส” เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา
นอกจากข้อหาฆ่าคนตายโดยเจตนา 24 กระทง จากการสังหารผู้คนในโรงหนังตายไป 12 คนแล้ว เขาถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่ารวม 116 กระทงสำหรับการกระทำซึ่งทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 58 คนโดยบางคนยังมีอาการสาหัส รวมทั้งข้อกล่าวหาก่อความรุนแรง 1 กระทง และมีระเบิดในครอบครองอีก 1 กระทง เพราะจากการตรวจค้นที่พักของเขา ตำรวจพบว่า โฮล์มส์เดินสายวางระเบิดที่มีอานุภาพเพียงพอทำลายอาคาร 3 ชั้นหลังนั้น
สำนักงานของแครอล แชมเบอร์ อัยการแขวงอราพาโฮ เคาน์ตี้ ตั้งข้อหาโฮล์ม 2 กระทงสำหรับผู้เสียชีวิตแต่ละคน โดยกระทงหนึ่งสำหรับการฆ่าโดยไตร่ตรองล่วงหน้า และอีกกระทงสำหรับการมุ่งร้ายโดยไม่ใส่ใจต่อชีวิตมนุษย์ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า การที่อัยการตั้งข้อหาในลักษณะนี้ก็เพื่อเพิ่มทางเลือกให้คณะลูกขุนตัดสินว่าโฮล์มมีความผิดจริง
อัยการเปิดเผยเมื่อวันจันทร์ (29) ว่า ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือนในการตัดสินใจว่าสมควรนำโทษประหารมาใช้กับคดีนี้หรือไม่ โดยที่ผ่านมา มีนักโทษเพียงคนเดียวที่ถูกประหารในมลรัฐโคโลราโดนับจากมีการรื้อฟื้นโทษนี้กลับมาบังคับใช้ในปี 1976
ทางด้านโฮล์มส์ปรากฏตัวในศาลด้วยอาการสงบและมีสติมากกว่าในการขึ้นศาลครั้งแรกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ตลอด 45 นาทีที่อยู่ในศาล อดีตนักศึกษาปริญญาเอกก้มหน้าเป็นส่วนใหญ่ และเปิดปากพูดเพียงครั้งเดียวเท่านั้นว่า “ครับ” เมื่อผู้พิพากษาวิลเลียม ซิลเวสเตอร์ถามว่า เขาต้องการเพิกถอนสิทธิในการไต่สวนขั้นต้นหรือไม่
ระหว่างการไต่สวนในวันจันทร์ ทามารา เบรดี้ ทนายความจำเลย เรียกร้องให้สำนักงานอัยการส่งคืนหลักฐานในคดี ได้แก่ พัสดุที่สื่อมวลชนรายงานว่า ส่งถึงดร.ลินน์ เฟนตัน จิตแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคโลราโด ทว่า ทางอัยการตอบกลับว่า ยังไม่ได้เปิดพัสดุดังกล่าว ซึ่งตามการรายงานของฟ็อกซ์ นิวส์นั้น ในพัสดุดังกล่าว มีสมุดโน้ตบรรยายแผนการสังหารหมู่ของโฮล์มพร้อมภาพร่างประกอบ
ปลายสัปดาห์ที่แล้ว ทนายความของโฮล์มส์ยังเปิดเผยว่า ลูกความของตนเป็นคนไข้ของดร.เฟนตัน
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ว่า สภาพจิตของโฮล์มอาจมีบทบาทสำคัญต่อรูปคดี โดยก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่เผยว่า ภายหลังถูกจับกุม โฮล์มส์เรียกตัวเองว่า “โจ๊กเกอร์” หรือตัวร้ายในหนังแบทแมนที่ฉายอยู่ขณะที่เขาก่อเหตุ
นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์กันว่า ความเครียดจากการสอบปากเปล่าสำคัญไม่ผ่าน จนต้องพ้นสภาพการเป็นนักศึกษาปริญญาเอก อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้โฮล์มส์ก่อเหตุสังหารหมู่ โดยสถานีโทรทัศน์เคเอ็มจีเอช-ทีวีในเครือเอบีซี นิวส์ รายงานว่า โฮล์มส์ซื้อปืนไรเฟิลอัตโนมัติเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน หลังจากสอบปากเปล่าไม่ผ่านไม่กี่ชั่วโมง และถัดมา 3 วันเขาลาออกจากโครงการปริญญาเอก สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ วิทยาเขตแพทศาสตร์แอนชูลซ์ มหาวิทยาลัยโคโรลาโด
แม้การสังหารหมู่ครั้งนี้ที่ถือว่ารุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งเท่าที่เคยเกิดขึ้นในอเมริกา ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทว่าเรื่องนี้ก็ยังดูจะไม่เพียงพอที่จะทำให้มีเจตนารมณ์ร่วมกันทางการเมืองในการแก้ไขกฎหมายควบคุมอาวุธปืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจังหวะเวลาที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีกำลังจะมีขึ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้า