เอเจนซีส์ – ประธานาธิบดีเต็งเส่ง ของพม่ากำลังเล็งปรับครม. โดยแหล่งข่าวหลายรายบอกกับพวกสำนักข่าวต่างประเทศว่า จะมีรัฐมนตรีอาวุโสที่เป็นพวกหัวแข็งกร้าวถูกปรับออกไป ขณะเดียวกัน รัฐสภาแดนหม่องแถลงอย่างเป็นทางการในวันพุธ(4) รับทราบการลาออกจากตำแหน่งรองประธานาธิบดีของ ทิน อ่อง มิ้นต์ อู ซึ่งถูกมองว่าเป็นคนใกล้ชิดของ ตานฉ่วย อดีตผู้นำเผด็จการทหาร
ผู้สังเกตการณ์หลายรายมองว่า ความเคลื่อนไหวเช่นนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าฝ่ายที่มีแนวคิดปฏิรูปภายในคณะรัฐบาลกึ่งพลเรือนชุดปัจจุบันของพม่า กำลังมีความมั่นอกมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของ อองซานซูจี ก็กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทอยู่ในรัฐสภา ตั้งแต่การประชุมสมัยปัจจุบันที่เริ่มต้นขึ้นในวันพุธ
สมาชิกรัฐสภาพม่าหลายคนแสดงความคาดหมายกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ในระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยนี้ จะมีการประกาศปรับคณะรัฐมนตรี โดยอาจมีการยุบกระทรวงบางแห่งหรือโยกย้ายรัฐมนตรีบางคน รวมทั้งปลดบางคนที่ลังเลในการยอมรับแผนปฏิรูป เพื่อให้ครม. มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น
ขณะที่ทั้งรอยเตอร์และสำนักข่าวเอเอฟพีต่างอ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนหนึ่งเผยว่า มีการคาดหมายว่า รัฐมนตรีอาวุโส 3 คนที่เป็นพวกสายแข็งกร้าวจะถูกปลดออก และแต่งตั้งพวกที่มีแนวคิดกลางๆ มากกว่าเข้าแทนที่
การเปลี่ยนแปลงในพม่ามีแนวโน้มรุดหน้าอย่างชัดเจนภายหลังจากที่อดีตนายพลเต็งเส่งประกาศแผนปฏิรูประลอกที่สองเมื่อวันที่ 19 เดือนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจให้จีดีพีต่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวภายใน 5 ปี และพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัย
นอกเหนือจากกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ในวันพุธ ประธานของทั้ง 2 สภาที่ประกอบขึ้นเป็นรัฐสภาของพม่า ได้ประกาศเรื่องการลาออกจากตำแหน่งของรองประธานาธิบดีทิน อ่อง มิ้นต์ อู อดีตนายทหารหัวแข็งกร้าวซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พล.อ.พิเศษ ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำระบอบเผด็จการทหารพม่า
ทิน อ่อง มิ้นต์ อู ได้ยื่นใบลาออกตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ ทว่าในตอนนั้น เต็งเส่งไม่ยอมรับและอนุญาตให้ลาพักแทนนาน 2 เดือน
หลังจากหลายหน้าจากสายตาของสาธารณชนอยู่หลายเดือน ก็มีการออกข่าวว่าอดีตนายพลสี่ดาวผู้นี้ได้บวชเป็นพระสงฆ์
ทิน อ่อง มิ้นตู อู เป็นรองประธานาธิบดีโดยได้รับเลือกตั้งจากตัวแทนฝ่ายทหารในรัฐสภา และ ขิ่น อ่อง มิ้นต์ ประธานสภาสูงแถลงว่า ตัวแทนฝ่ายทหารจะเลือกรองประธานาธิบดีคนใหม่ภายในวันที่ 10 นี้ จากนั้นจึงจะเสนอให้สมาชิกสภาล่างรับรองต่อไป
สมาชิกรัฐสภาบอกกับรอยเตอร์ว่า เกือบจะเป็นที่แน่นอนว่ารองประธานาธิบดีคนใหม่ จะต้องเป็นอดีตนายพลเช่นเดียวกัน โดยตัวเก็งเต็งหนึ่งคือ ทินเอ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ได้รับการนับถือจากกองทัพ และจบจากวิทยาลัยป้องกันประเทศเช่นเดียวกับเต็งเส่ง
ผู้สังเกตการณ์ชี้ว่า รองประธานาธิบดีคนใหม่นี้ อาจจะเป็นอดีตนายพลที่มีแนวคิดยอมรับการปฏิรูป เฉกเช่นเดียวกับเต็งเส่ง
นิโคลัส ฟาร์เรลลี นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย แสดงความเห็นว่า การปรับเปลี่ยนใหม่ๆ เช่นนี้ จะเพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ๆ ให้แก่พวกนักปฏิรูปของเต็งเส่ง รวมทั้งทำให้พวกเขามีช่องทางในการเคลื่อนไหวทำอะไรได้มากขึ้นด้วย
เขาเสริมด้วยว่า ระบอบปกครองทหารของพม่าเองก็ต้องการสร้างภาพลักษณ์นักปฏิรูปขึ้นในหมู่อดีตนายพลด้วย ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความประทับใจขึ้นมาว่า “พวกนักปฏิรูปนั้นมีอยู่เพียงพวกเดียว คือ อองซานซูจี และพรรคเอ็นแอลดีของเธอ”
ผู้สังเกตการณ์ชี้ด้วยว่า เต็งเส่งนั้นกำลังถูกกดดันจากพันธมิตรให้ปรับปรุงประสิทธิภาพคณะรัฐมนตรีเพื่อเดินหน้าการปฏิรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่การต่อต้านจากสายแข็งกร้าวมีแนวโน้มหนักหน่วงขึ้นในเร็วๆ นี้ ในจังหวะที่รัฐบาลพยายามเปิดกว้างระบบเศรษฐกิจซึ่งถูกชนชั้นสูงกลุ่มเล็กๆ ที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกองทัพรุมทึ้งผลประโยชน์มานับสิบปี
นักลงทุนต่างชาติมากมายจ้องพม่าตาเป็นมันขณะรอคอยให้มีการผ่านกฎหมายสำคัญต่างๆ อาทิ กฎหมายการลงทุนของต่างชาติ และกฎเกณฑ์สำหรับบริษัทต่างแดนที่ต้องการเข้าไปดำเนินกิจการในแดนหม่อง
นอกจากนี้รัฐบาลยังเผชิญแรงกดดันจากประชาชนให้เร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลง หลายเดือนที่ผ่านมามีการประท้วงปัญหาไฟฟ้าดับเรื้อรัง ค่าแรงในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการปฏิรูปที่ดินทางการเกษตร ขณะที่ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกยาวนานระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ลุกลามกลายเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 คนเมื่อเร็วๆ นี้
ความล่าช้าในการปฏิรูปยังอาจส่งผลร้ายแรงต่อพรรคยูเอสดีพี ซึ่งเป็นพรรคของฝ่ายทหาร ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2015 หลังจากพรรคนี้ได้รับสัญญาณเตือนชัดเจนจากชัยชนะถล่มทลายของอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน ในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ผู้สังเกตการณ์หลายรายมองว่า ความเคลื่อนไหวเช่นนี้เป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่าฝ่ายที่มีแนวคิดปฏิรูปภายในคณะรัฐบาลกึ่งพลเรือนชุดปัจจุบันของพม่า กำลังมีความมั่นอกมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับเป็นช่วงเวลาที่พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของ อองซานซูจี ก็กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทอยู่ในรัฐสภา ตั้งแต่การประชุมสมัยปัจจุบันที่เริ่มต้นขึ้นในวันพุธ
สมาชิกรัฐสภาพม่าหลายคนแสดงความคาดหมายกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า ในระหว่างการประชุมรัฐสภาสมัยนี้ จะมีการประกาศปรับคณะรัฐมนตรี โดยอาจมีการยุบกระทรวงบางแห่งหรือโยกย้ายรัฐมนตรีบางคน รวมทั้งปลดบางคนที่ลังเลในการยอมรับแผนปฏิรูป เพื่อให้ครม. มีประสิทธิภาพและคล่องตัวมากขึ้น
ขณะที่ทั้งรอยเตอร์และสำนักข่าวเอเอฟพีต่างอ้างเจ้าหน้าที่รัฐบาลคนหนึ่งเผยว่า มีการคาดหมายว่า รัฐมนตรีอาวุโส 3 คนที่เป็นพวกสายแข็งกร้าวจะถูกปลดออก และแต่งตั้งพวกที่มีแนวคิดกลางๆ มากกว่าเข้าแทนที่
การเปลี่ยนแปลงในพม่ามีแนวโน้มรุดหน้าอย่างชัดเจนภายหลังจากที่อดีตนายพลเต็งเส่งประกาศแผนปฏิรูประลอกที่สองเมื่อวันที่ 19 เดือนที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจให้จีดีพีต่อจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าตัวภายใน 5 ปี และพัฒนาประเทศสู่ความทันสมัย
นอกเหนือจากกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ในวันพุธ ประธานของทั้ง 2 สภาที่ประกอบขึ้นเป็นรัฐสภาของพม่า ได้ประกาศเรื่องการลาออกจากตำแหน่งของรองประธานาธิบดีทิน อ่อง มิ้นต์ อู อดีตนายทหารหัวแข็งกร้าวซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นผู้ใกล้ชิดกับ พล.อ.พิเศษ ตาน ฉ่วย อดีตผู้นำระบอบเผด็จการทหารพม่า
ทิน อ่อง มิ้นต์ อู ได้ยื่นใบลาออกตั้งแต่เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ด้วยเหตุผลเรื่องสุขภาพ ทว่าในตอนนั้น เต็งเส่งไม่ยอมรับและอนุญาตให้ลาพักแทนนาน 2 เดือน
หลังจากหลายหน้าจากสายตาของสาธารณชนอยู่หลายเดือน ก็มีการออกข่าวว่าอดีตนายพลสี่ดาวผู้นี้ได้บวชเป็นพระสงฆ์
ทิน อ่อง มิ้นตู อู เป็นรองประธานาธิบดีโดยได้รับเลือกตั้งจากตัวแทนฝ่ายทหารในรัฐสภา และ ขิ่น อ่อง มิ้นต์ ประธานสภาสูงแถลงว่า ตัวแทนฝ่ายทหารจะเลือกรองประธานาธิบดีคนใหม่ภายในวันที่ 10 นี้ จากนั้นจึงจะเสนอให้สมาชิกสภาล่างรับรองต่อไป
สมาชิกรัฐสภาบอกกับรอยเตอร์ว่า เกือบจะเป็นที่แน่นอนว่ารองประธานาธิบดีคนใหม่ จะต้องเป็นอดีตนายพลเช่นเดียวกัน โดยตัวเก็งเต็งหนึ่งคือ ทินเอ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งที่ได้รับการนับถือจากกองทัพ และจบจากวิทยาลัยป้องกันประเทศเช่นเดียวกับเต็งเส่ง
ผู้สังเกตการณ์ชี้ว่า รองประธานาธิบดีคนใหม่นี้ อาจจะเป็นอดีตนายพลที่มีแนวคิดยอมรับการปฏิรูป เฉกเช่นเดียวกับเต็งเส่ง
นิโคลัส ฟาร์เรลลี นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย แสดงความเห็นว่า การปรับเปลี่ยนใหม่ๆ เช่นนี้ จะเพิ่มแรงกระตุ้นใหม่ๆ ให้แก่พวกนักปฏิรูปของเต็งเส่ง รวมทั้งทำให้พวกเขามีช่องทางในการเคลื่อนไหวทำอะไรได้มากขึ้นด้วย
เขาเสริมด้วยว่า ระบอบปกครองทหารของพม่าเองก็ต้องการสร้างภาพลักษณ์นักปฏิรูปขึ้นในหมู่อดีตนายพลด้วย ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดความประทับใจขึ้นมาว่า “พวกนักปฏิรูปนั้นมีอยู่เพียงพวกเดียว คือ อองซานซูจี และพรรคเอ็นแอลดีของเธอ”
ผู้สังเกตการณ์ชี้ด้วยว่า เต็งเส่งนั้นกำลังถูกกดดันจากพันธมิตรให้ปรับปรุงประสิทธิภาพคณะรัฐมนตรีเพื่อเดินหน้าการปฏิรูป โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่การต่อต้านจากสายแข็งกร้าวมีแนวโน้มหนักหน่วงขึ้นในเร็วๆ นี้ ในจังหวะที่รัฐบาลพยายามเปิดกว้างระบบเศรษฐกิจซึ่งถูกชนชั้นสูงกลุ่มเล็กๆ ที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับกองทัพรุมทึ้งผลประโยชน์มานับสิบปี
นักลงทุนต่างชาติมากมายจ้องพม่าตาเป็นมันขณะรอคอยให้มีการผ่านกฎหมายสำคัญต่างๆ อาทิ กฎหมายการลงทุนของต่างชาติ และกฎเกณฑ์สำหรับบริษัทต่างแดนที่ต้องการเข้าไปดำเนินกิจการในแดนหม่อง
นอกจากนี้รัฐบาลยังเผชิญแรงกดดันจากประชาชนให้เร่งกระบวนการเปลี่ยนแปลง หลายเดือนที่ผ่านมามีการประท้วงปัญหาไฟฟ้าดับเรื้อรัง ค่าแรงในอุตสาหกรรมสิ่งทอ และการปฏิรูปที่ดินทางการเกษตร ขณะที่ความขัดแย้งที่ฝังรากลึกยาวนานระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่ ลุกลามกลายเป็นเหตุการณ์รุนแรงที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 80 คนเมื่อเร็วๆ นี้
ความล่าช้าในการปฏิรูปยังอาจส่งผลร้ายแรงต่อพรรคยูเอสดีพี ซึ่งเป็นพรรคของฝ่ายทหาร ในการเลือกตั้งใหญ่ปี 2015 หลังจากพรรคนี้ได้รับสัญญาณเตือนชัดเจนจากชัยชนะถล่มทลายของอองซาน ซูจี ผู้นำฝ่ายค้าน ในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา