ASTVผู้จัดการรายวัน- พล.ต.อ.ปานศิริ เผยความคืบหน้าคดีสังหารหมู่ลูกเรือจีน 13 ศพบนเรือขนส่งสินค้า"หยู่ซิง 8" กลางแม่น้ำโขง ออกมายจับทหาร 9 นายแล้ว ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ้อนเร้นทำลายศพ จากการสอบปากคำพบชายชุดดำขับเรือเร็วประกบ ก่อนขนยาเสพติดขึ้นเรือคันเกิดเหตุ พร้อมล่าตัวหนวด สมพงษ์พันธ์ ผู้ประสานงานในการก่อเหตุ ประวัติคดีอาชญากรติดตัว
วานนี้(2 ก.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดียิงลูกเรือชาวจีนเสียชีวิต 13 ศพ ภายในเรือส่งสินค้าของจีนชื่อ “หยู่ซิง 8 “ กลางแม่น้ำโขง แถบ สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี พล.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ. 5 พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน โดยใช้เวลาการประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง
พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า การประชุมวันนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนซึ่ง ในเร็ว ๆนี้ คณะรัฐบาลจีนเดินทางมายังประเทศไทย สำหรับทีมพนักงานสอบสวนมีอัยการร่วมด้วย เนื่องจากคดีนี้ก่อเหตุทั้งในและนอกราชอาณาจักร ล่าสุดเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว ทีมพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปยังแคว้นสิบสองปันนาเพื่อสอบปากคำญาติของผู้เสียชีวิตและ ไปยังท่าเรือกวงเหล่ย และประสานกับกับทางการจีนหลังจากทางการจีนจับตัวนายหน่อคำ ชาวไทยใหญ่ นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่ามีชายชุดดำ จำนวนหนึ่งนำเรือเร็วประกบเรือสินค้าจีน ก่อนขนยาขึ้นไปบนเรือ ซึ่งประเด็นนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทีมพนักงานสอบสวนได้สอบสวนด้วยว่าก่อนที่เรือสินค้าออกจากท่ามียาเสพติดมาก่อนหรือไม่ ซึ่งพบว่าไม่มีมาก่อน มีเพียงกล่องผลไม้ที่เตรียมนำมาส่งยังประเทศไทยเท่านั้น รวมถึงประวัติของลูกเรือจีนทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน รวมถึงผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จากกล่องบรรจุยาเสพติดก็ไม่พบลายนิ้วมือของลูกเรือทั้งหมดด้วย
พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานแล้ว 109 ปากแล้ว ทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ ส่วนผลการพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ครบถ้วนแล้ว มีการออกหมายจับทหารจำนวน 9 นาย ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ้อนเร้นทำลายศพ
เมื่อถามว่า ในคดีนี้ได้ออกหมายจับนายหน่อคำด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า ยังไม่มีการออกหมายจับนายหน่อคำแต่อย่างใด แต่จากการสืบสวนทราบว่า ชายชุดดำทั้งหมดเป็นลูกน้องของนายหน่อคำ ที่ก่อเหตุโดยการนำเรือเร็วพร้อมยาเสพติดมาเทียบกับเรือสินค้าบริเวณแม่น้ำโขง ย่านสามเหลี่ยมเหลี่ยมทองคำ ก่อนเข้าประเทศไทยประมาณ 10 กิโลเมตร และจุดประสงค์ของการนำยาเสพติดขึ้นเรือดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยด้วย ซึ่งรายละเอียดไม่สามารถบอกได้ อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนต่อไป
อย่างไรก็ตามการเดินทางไปประเทศจีนที่ผ่านมา ยังไม่มีการสอบปากคำนายหน่อคำ แต่การสืบสวนพบว่ามีพลเรือนไทย1 ราย คือ นายโอฬาร หรือ จำรัสหรือหนวด สมพงษ์พันธ์ เป็นตัวประสานงานในการก่อเหตุ มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีคดีร่วมกันฆ่า นายสันติ ชัยวิรัตนะ อดีต รมช.มหาดไทย และส.ส.ชัยภูมิ ถูกยิงเสียชีวิตที่ จ. เชียงราย หลายปีมาแล้ว ซึ่งนายโอฬารได้หลบหนีหมายจับไปกบดานกับชาวว้า ซึ่งศาลออกหมายจับนายโอฬารแล้วอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมต่อไป
เหตุการณ์ฆ่าหมู่ลูกเรือสินค้าแม่น้ำโขงสัญชาติจีน 2 ลำ และฆ่าหมู่ลูกเรือรวม 13 ศพ บริเวณสามเหลี่ยมทองติดกับ จ.เชียงราย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมามีศพบางส่วนลอยมาติดริมฝั่งไทย-สปป.ลาว ด้าน อ.เชียงแสน และเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว และแต่ละศพถูกมัดมือไขว้หลัง - จ่อยิงในระยะเผาขนก่อนถูกโยนทิ้งน้ำ สภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง เพราะอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแถบนี้ไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงมากเท่านี้มาก่อน โดยเฉพาะความรุนแรงต่อชาวจีนซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจในย่านนี้ และเรื่องราวยิ่งลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพบว่าบนเรือสินค้าจีนที่มีการฆาตกรรมพบยาบ้าซุกซ่อนในกระสอบฟางและกล่องกระดาษรวมกันกว่า 920,000 เม็ด แต่ทางรัฐบาลจีนแสดงความไม่พอใจเพราะได้ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งคลี่คลายคดี
ต่อมา พ.ต.ท.อัศเรศ เหลืองสนิท สารวัตรเวร สภ.เชียงแสน ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงเสียชีวิตบนเรือสินค้าจีน ซึ่งจอดเทียบริมฝั่งไทยริมถนนสายเชียงแสน-สบรวก บ้านสบรวกเมื่อไปตรวจสอบพบเรือสินค้าจีน 2 ลำคือเรือ Hua Ping บรรทุกกระเทียมและแอปเปิ้ล และเรือ Yu Xing 8 Hao บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง และที่ห้องบังคับเรือ Yu Xing 8 Hao พบศพชายไม่ทราบชื่ออายุ 30 ปี นอนกอดอาวุธปืนเล็กกล สภาพถูกยิงที่ศีรษะ หน้าอกและสะโพก เมื่อตรวจค้นบนเรือ Hua Ping พบกระสอบจำนวน 3 ใบภายในมียาบ้าจำนวน 520,000 เม็ด และเรือ Yu Xing 8 Hao พบกล่องต้องสงสัยจำนวน 1 กล่องภายในมียาบ้าจำนวน 400,000 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 920,000 เม็ด
ก่อนที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายจะเข้าตรวจสอบมีชาวบ้านได้ยินเสียงปืนเหนือสามเหลี่ยมทองคำเข้าไปทางประเทศแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อมาพบเรือทั้งสองลำแล่นมาตามแม่น้ำโขงเข้าสู่น่านน้ำไทยโดยมีกองกำลังติดอาวุธบนเรือพร้อมเรือเร็วอีก 4 ลำมีกองกำลังประมาณ 9-10 คนตามขนาบมา ช่วงที่เรือเข้าเทียบริมฝั่งที่บ้านสบรวกกองกำลังผาเมืองซึ่งเป็นกองกำลังของประเทศไทยที่ดูแลพรมแดนบริเวณดังกล่าว ได้ปิดถนนบริเวณดังกล่าวพร้อมติดตั้งอาวุธและมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหลบหนีออกจากเขตน่านน้ำไทยพร้อมเรือเร็ว เหลือไว้เพียงเรือและหลักฐานยาบ้าเกือบล้านเม็ดและศพชายลึกลับพร้อมอาวุธปืนดังกล่าว
เช้าอีกวันกองกำลังผาเมืองซึ่งประกอบไปด้วยทหารม้า ฉก.ม.3 ฉก.ทหารพราน 31 หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ทหารเรือ ฯลฯ นำโดย พล.ต.ปราการ ชลยุทธ ผบ.กองกำลังผาเมือง (ขณะนั้น) ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์รุนแรงได้เกิดขึ้นนอกน่านน้ำไทยและเรือได้เข้าเทียบฝั่งไทยเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยเข้าไปตรวจสอบเรือก็พบกับศพและยาบ้าดังกล่าว
อย่างไรก็ตามหลังวันแถลงก็มีเหตุการณ์น่าสยองตามมา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ศพของนายฮวงหย่ง อายุ 41 ปี กัปตันเรือ Hua Ping ได้ลอยไปติดอยู่ที่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน ห่างจากจุดพบเรือประมาณ 6 กิโลเมตร สภาพถูกสวมกุญแจมือด้านหน้าและถูกยิงที่ศีรษะและลำตัวด้วยกระสุนปืนไม่ทราบชนิด
นอกจากนี้ ยังมีลูกเรือคนอื่นๆ ลอยไปติดตามริมฝั่งทั้งฝั่งไทยและเกาะกลางแม่น้ำโขงโดยวันที่ 7 ต.ค.คือนายหย่าง เจ๋อเหว่ย ห่างจากเรือ 6.44 กิโลเมตร วันที่ 8 ต.ค.ประกอบด้วยนายหวัง เจี้ยนจุง ห่างจากเรือ 150 เมตร นายหยัง ยิ่ง ตง ห่างจากเรือ 1.79 กิโลเมตร นางหลีเยี่ยน ห่างจากเรือ 2.23 กิโลเมตร นายจิว จา ไห่ ห่างจากเรือ 6.17 กิโลเมตร นายเฉิน เหยียนเชิง ห่างจากเรือ 2.1 กิโลเมตร นายหวัง กุ๊ย เชา ห่างจากเรือ 2.23 กิโลเมตร นายไช่ ฟังหัว ห่างจากเรือ 2.73 กิโลเมตร นายเหวิน ต่ายหง ห่างจากเรือ 2.85 กิโลเมตร นางเฉิน โก หยิน ห่างจากเรือ 4.49 กิโลเมตร และวันที่ 11 ต.ค.พบศพสุดท้ายคือนายเจือ ซีห่าง ห่างจากเรือ 1.96 กิโลเมตร สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนทั่วไปและเรือสินค้าจีนที่ไม่กล้าออกจากฝั่งอีกต่อไป โดยคงค้างอยู่ที่ท่าเรือเชียงแสน 26 ลำ และรัฐบาลจีนเริ่มเรียกร้องให้คลี่คลายเรื่องราวทั้งหมด
ทำให้รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.(ปป.3) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผช.ตร.พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผบช.สพฐ.ตร.ฯลฯ ลงไปคลี่คลายคดีโดยตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ลงพื้นที่คลี่คลายคดี โดยทางการจีนได้ให้สถานฑูตจีนประจำประเทศไทยไปดูคดีอย่างใกล้ชิด และขอความร่วมมือรัฐบาลไทยในการจัดส่งเจ้าหน้าที่จากจีนไปร่วมในขั้นตอนต่างๆ โดยตรงทั้งการชันสูตรพลิกศพด้วยทีมแพทย์หลายสิบคนจากหลายโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ฯลฯ จนท่าทีของทางการจีนเริ่มพอใจ
กระทั่งวันที่ 28 ต.ค.55 หลังการสืบสวนได้ข้อมูลไปได้ระดับหนึ่งก็ได้มี พ.ต.เชิดพงศ์ ช่วยบำรุง จนท.ฝ่ายการข่าว กองกำลังผาเมือง ,ร.ท.อนุสรณ์ สอนถม หัวหน้าชุดปฏิบัติการลาดตระเวณไกล กองกำลังผาเมือง และทหารชั้นประทวนซึ่งเป็นลูกชุดประกอบด้วย จ.ส.อ.เฉลิมพล อินทร ส.อ.อิทธิศักดิ์ น้อมถิ่น ส.อ.คณิศร ศุขจักร ส.อ.ชัชวาล สรรพช่าง ส.อ.ปัจจะ คำผัด ส.อ.เพิด จันทะ และ ส.อ.พันธ์ศักดิ์ เผ่าบ้านฟาง เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนของคณะกรรมการดังกล่าว พร้อมรับทราบข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นศพ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีโดยยึดตามกฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดนอกราชอาณาจักรไทยแต่มาพบผลในพื้นที่ประเทศไทย
ช่วง 1-2 เดือนหลังเกิดเหตุ คดีเดินหน้า มีการเรียกสอบบุคคลทั้งคนไทยและต่างประเทศกว่า 100 ปาก รวมทั้งสืบหาข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม พบว่าภาคการเมืองได้เดินทางไปดูคดีนี้อย่างถี่ยิบ ไล่ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรหลายคณะ จนถูกมองว่าคดีนี้ฝ่ายการเมืองต้องการเร่งรัดคดี
อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายต่างก็ให้ข้อมูลตรงกันว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันทหารหรือกองทัพแต่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ไม่ว่าความคืบหน้าจะเป็นอย่างไรรัฐบาลช่วงการตรวจสอบรัฐบาลจีนได้เรียกเรือแม่น้ำโขงสัญชาติจีนทั้งหมดกลับประเทศเมื่อวันที่ 14 ต.ค.โดยส่งกำลังตำรวจพร้อมอาวุธเข้าสู่น่านน้ำใกล้ท่าเรือและที่ว่าการ อ.เชียงแสน และทำการคุ้มกันคาราวานเรือสินค้า 26 ลำกลับท่าเรือกวนเหล่ย มณฑลหยุนหนัน อันเป็นเมืองท่าหน้าด่านของจีนติดกับแขวงไชยบุรี สปป.ลาว ระยะทางประมาณ 264 กิโลเมตร
และต่อมา “จายหน่อคำ” ที่ถูกระบุว่า เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย ได้ถูกเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว จับกุมได้ ก่อนที่ สป.จีนจะส่งเครื่องบินมารับตัวไปสอบสวนที่ประเทศจีนในเวลาต่อมา ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า “จายหน่อคำ” ได้ให้การซัดทอดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย โดยหลายคนเป็นเจ้าหน้าที่ของไทยที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ช่วงที่เกิดเหตุด้วย
วานนี้(2 ก.ค.)ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวนคดียิงลูกเรือชาวจีนเสียชีวิต 13 ศพ ภายในเรือส่งสินค้าของจีนชื่อ “หยู่ซิง 8 “ กลางแม่น้ำโขง แถบ สามเหลี่ยมทองคำ พร้อมด้วย พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี พล.ต.ท.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ผช.ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุเทพ เดชรักษา ผบช.ภ. 5 พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พร้อมด้วยคณะพนักงานสอบสวน โดยใช้เวลาการประชุมประมาณ 2 ชั่วโมง
พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า การประชุมวันนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนซึ่ง ในเร็ว ๆนี้ คณะรัฐบาลจีนเดินทางมายังประเทศไทย สำหรับทีมพนักงานสอบสวนมีอัยการร่วมด้วย เนื่องจากคดีนี้ก่อเหตุทั้งในและนอกราชอาณาจักร ล่าสุดเมื่อ 3 สัปดาห์ที่แล้ว ทีมพนักงานสอบสวนได้เดินทางไปยังแคว้นสิบสองปันนาเพื่อสอบปากคำญาติของผู้เสียชีวิตและ ไปยังท่าเรือกวงเหล่ย และประสานกับกับทางการจีนหลังจากทางการจีนจับตัวนายหน่อคำ ชาวไทยใหญ่ นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ทั้งนี้ จากการสืบสวนพบว่ามีชายชุดดำ จำนวนหนึ่งนำเรือเร็วประกบเรือสินค้าจีน ก่อนขนยาขึ้นไปบนเรือ ซึ่งประเด็นนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ทีมพนักงานสอบสวนได้สอบสวนด้วยว่าก่อนที่เรือสินค้าออกจากท่ามียาเสพติดมาก่อนหรือไม่ ซึ่งพบว่าไม่มีมาก่อน มีเพียงกล่องผลไม้ที่เตรียมนำมาส่งยังประเทศไทยเท่านั้น รวมถึงประวัติของลูกเรือจีนทั้งหมดก็ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน รวมถึงผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จากกล่องบรรจุยาเสพติดก็ไม่พบลายนิ้วมือของลูกเรือทั้งหมดด้วย
พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนได้สอบปากคำพยานแล้ว 109 ปากแล้ว ทั้งบุคคลที่เกี่ยวข้องทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ ส่วนผลการพิสูจน์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ครบถ้วนแล้ว มีการออกหมายจับทหารจำนวน 9 นาย ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่นและซ้อนเร้นทำลายศพ
เมื่อถามว่า ในคดีนี้ได้ออกหมายจับนายหน่อคำด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.ปานศิริ กล่าวว่า ยังไม่มีการออกหมายจับนายหน่อคำแต่อย่างใด แต่จากการสืบสวนทราบว่า ชายชุดดำทั้งหมดเป็นลูกน้องของนายหน่อคำ ที่ก่อเหตุโดยการนำเรือเร็วพร้อมยาเสพติดมาเทียบกับเรือสินค้าบริเวณแม่น้ำโขง ย่านสามเหลี่ยมเหลี่ยมทองคำ ก่อนเข้าประเทศไทยประมาณ 10 กิโลเมตร และจุดประสงค์ของการนำยาเสพติดขึ้นเรือดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยด้วย ซึ่งรายละเอียดไม่สามารถบอกได้ อยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนต่อไป
อย่างไรก็ตามการเดินทางไปประเทศจีนที่ผ่านมา ยังไม่มีการสอบปากคำนายหน่อคำ แต่การสืบสวนพบว่ามีพลเรือนไทย1 ราย คือ นายโอฬาร หรือ จำรัสหรือหนวด สมพงษ์พันธ์ เป็นตัวประสานงานในการก่อเหตุ มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด และมีคดีร่วมกันฆ่า นายสันติ ชัยวิรัตนะ อดีต รมช.มหาดไทย และส.ส.ชัยภูมิ ถูกยิงเสียชีวิตที่ จ. เชียงราย หลายปีมาแล้ว ซึ่งนายโอฬารได้หลบหนีหมายจับไปกบดานกับชาวว้า ซึ่งศาลออกหมายจับนายโอฬารแล้วอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมต่อไป
เหตุการณ์ฆ่าหมู่ลูกเรือสินค้าแม่น้ำโขงสัญชาติจีน 2 ลำ และฆ่าหมู่ลูกเรือรวม 13 ศพ บริเวณสามเหลี่ยมทองติดกับ จ.เชียงราย เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมามีศพบางส่วนลอยมาติดริมฝั่งไทย-สปป.ลาว ด้าน อ.เชียงแสน และเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว และแต่ละศพถูกมัดมือไขว้หลัง - จ่อยิงในระยะเผาขนก่อนถูกโยนทิ้งน้ำ สภาพดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง เพราะอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงแถบนี้ไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงมากเท่านี้มาก่อน โดยเฉพาะความรุนแรงต่อชาวจีนซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจในย่านนี้ และเรื่องราวยิ่งลึกลับซับซ้อนมากขึ้นเมื่อพบว่าบนเรือสินค้าจีนที่มีการฆาตกรรมพบยาบ้าซุกซ่อนในกระสอบฟางและกล่องกระดาษรวมกันกว่า 920,000 เม็ด แต่ทางรัฐบาลจีนแสดงความไม่พอใจเพราะได้ข้อมูลที่ขัดแย้งกัน จึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทยเร่งคลี่คลายคดี
ต่อมา พ.ต.ท.อัศเรศ เหลืองสนิท สารวัตรเวร สภ.เชียงแสน ได้รับแจ้งมีคนถูกยิงเสียชีวิตบนเรือสินค้าจีน ซึ่งจอดเทียบริมฝั่งไทยริมถนนสายเชียงแสน-สบรวก บ้านสบรวกเมื่อไปตรวจสอบพบเรือสินค้าจีน 2 ลำคือเรือ Hua Ping บรรทุกกระเทียมและแอปเปิ้ล และเรือ Yu Xing 8 Hao บรรทุกน้ำมันเชื้อเพลิง และที่ห้องบังคับเรือ Yu Xing 8 Hao พบศพชายไม่ทราบชื่ออายุ 30 ปี นอนกอดอาวุธปืนเล็กกล สภาพถูกยิงที่ศีรษะ หน้าอกและสะโพก เมื่อตรวจค้นบนเรือ Hua Ping พบกระสอบจำนวน 3 ใบภายในมียาบ้าจำนวน 520,000 เม็ด และเรือ Yu Xing 8 Hao พบกล่องต้องสงสัยจำนวน 1 กล่องภายในมียาบ้าจำนวน 400,000 เม็ด รวมยาบ้าทั้งหมด 920,000 เม็ด
ก่อนที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายจะเข้าตรวจสอบมีชาวบ้านได้ยินเสียงปืนเหนือสามเหลี่ยมทองคำเข้าไปทางประเทศแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า และต่อมาพบเรือทั้งสองลำแล่นมาตามแม่น้ำโขงเข้าสู่น่านน้ำไทยโดยมีกองกำลังติดอาวุธบนเรือพร้อมเรือเร็วอีก 4 ลำมีกองกำลังประมาณ 9-10 คนตามขนาบมา ช่วงที่เรือเข้าเทียบริมฝั่งที่บ้านสบรวกกองกำลังผาเมืองซึ่งเป็นกองกำลังของประเทศไทยที่ดูแลพรมแดนบริเวณดังกล่าว ได้ปิดถนนบริเวณดังกล่าวพร้อมติดตั้งอาวุธและมีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด ก่อนที่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะหลบหนีออกจากเขตน่านน้ำไทยพร้อมเรือเร็ว เหลือไว้เพียงเรือและหลักฐานยาบ้าเกือบล้านเม็ดและศพชายลึกลับพร้อมอาวุธปืนดังกล่าว
เช้าอีกวันกองกำลังผาเมืองซึ่งประกอบไปด้วยทหารม้า ฉก.ม.3 ฉก.ทหารพราน 31 หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เขตเชียงราย ทหารเรือ ฯลฯ นำโดย พล.ต.ปราการ ชลยุทธ ผบ.กองกำลังผาเมือง (ขณะนั้น) ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยให้ข้อมูลว่าเหตุการณ์รุนแรงได้เกิดขึ้นนอกน่านน้ำไทยและเรือได้เข้าเทียบฝั่งไทยเมื่อเจ้าหน้าที่ไทยเข้าไปตรวจสอบเรือก็พบกับศพและยาบ้าดังกล่าว
อย่างไรก็ตามหลังวันแถลงก็มีเหตุการณ์น่าสยองตามมา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.ศพของนายฮวงหย่ง อายุ 41 ปี กัปตันเรือ Hua Ping ได้ลอยไปติดอยู่ที่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน ห่างจากจุดพบเรือประมาณ 6 กิโลเมตร สภาพถูกสวมกุญแจมือด้านหน้าและถูกยิงที่ศีรษะและลำตัวด้วยกระสุนปืนไม่ทราบชนิด
นอกจากนี้ ยังมีลูกเรือคนอื่นๆ ลอยไปติดตามริมฝั่งทั้งฝั่งไทยและเกาะกลางแม่น้ำโขงโดยวันที่ 7 ต.ค.คือนายหย่าง เจ๋อเหว่ย ห่างจากเรือ 6.44 กิโลเมตร วันที่ 8 ต.ค.ประกอบด้วยนายหวัง เจี้ยนจุง ห่างจากเรือ 150 เมตร นายหยัง ยิ่ง ตง ห่างจากเรือ 1.79 กิโลเมตร นางหลีเยี่ยน ห่างจากเรือ 2.23 กิโลเมตร นายจิว จา ไห่ ห่างจากเรือ 6.17 กิโลเมตร นายเฉิน เหยียนเชิง ห่างจากเรือ 2.1 กิโลเมตร นายหวัง กุ๊ย เชา ห่างจากเรือ 2.23 กิโลเมตร นายไช่ ฟังหัว ห่างจากเรือ 2.73 กิโลเมตร นายเหวิน ต่ายหง ห่างจากเรือ 2.85 กิโลเมตร นางเฉิน โก หยิน ห่างจากเรือ 4.49 กิโลเมตร และวันที่ 11 ต.ค.พบศพสุดท้ายคือนายเจือ ซีห่าง ห่างจากเรือ 1.96 กิโลเมตร สร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนทั่วไปและเรือสินค้าจีนที่ไม่กล้าออกจากฝั่งอีกต่อไป โดยคงค้างอยู่ที่ท่าเรือเชียงแสน 26 ลำ และรัฐบาลจีนเริ่มเรียกร้องให้คลี่คลายเรื่องราวทั้งหมด
ทำให้รัฐบาลไทยได้แต่งตั้งให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รอง ผบ.ตร.(ปป.3) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร.พล.ต.ท.วุฒิ ลิปตพัลลภ ผช.ตร.พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผบช.สพฐ.ตร.ฯลฯ ลงไปคลี่คลายคดีโดยตั้งคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ลงพื้นที่คลี่คลายคดี โดยทางการจีนได้ให้สถานฑูตจีนประจำประเทศไทยไปดูคดีอย่างใกล้ชิด และขอความร่วมมือรัฐบาลไทยในการจัดส่งเจ้าหน้าที่จากจีนไปร่วมในขั้นตอนต่างๆ โดยตรงทั้งการชันสูตรพลิกศพด้วยทีมแพทย์หลายสิบคนจากหลายโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลมหาราชเชียงใหม่ สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ฯลฯ จนท่าทีของทางการจีนเริ่มพอใจ
กระทั่งวันที่ 28 ต.ค.55 หลังการสืบสวนได้ข้อมูลไปได้ระดับหนึ่งก็ได้มี พ.ต.เชิดพงศ์ ช่วยบำรุง จนท.ฝ่ายการข่าว กองกำลังผาเมือง ,ร.ท.อนุสรณ์ สอนถม หัวหน้าชุดปฏิบัติการลาดตระเวณไกล กองกำลังผาเมือง และทหารชั้นประทวนซึ่งเป็นลูกชุดประกอบด้วย จ.ส.อ.เฉลิมพล อินทร ส.อ.อิทธิศักดิ์ น้อมถิ่น ส.อ.คณิศร ศุขจักร ส.อ.ชัชวาล สรรพช่าง ส.อ.ปัจจะ คำผัด ส.อ.เพิด จันทะ และ ส.อ.พันธ์ศักดิ์ เผ่าบ้านฟาง เดินทางเข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนของคณะกรรมการดังกล่าว พร้อมรับทราบข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนาและปิดบังซ่อนเร้นศพ ซึ่งทางพนักงานสอบสวนได้ดำเนินคดีโดยยึดตามกฎหมาย ป.วิ อาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดนอกราชอาณาจักรไทยแต่มาพบผลในพื้นที่ประเทศไทย
ช่วง 1-2 เดือนหลังเกิดเหตุ คดีเดินหน้า มีการเรียกสอบบุคคลทั้งคนไทยและต่างประเทศกว่า 100 ปาก รวมทั้งสืบหาข้อมูลหลักฐานเพิ่มเติม พบว่าภาคการเมืองได้เดินทางไปดูคดีนี้อย่างถี่ยิบ ไล่ตั้งแต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรหลายคณะ จนถูกมองว่าคดีนี้ฝ่ายการเมืองต้องการเร่งรัดคดี
อย่างไรก็ตามทุกฝ่ายต่างก็ให้ข้อมูลตรงกันว่าคดีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันทหารหรือกองทัพแต่เป็นเรื่องส่วนบุคคล แต่ไม่ว่าความคืบหน้าจะเป็นอย่างไรรัฐบาลช่วงการตรวจสอบรัฐบาลจีนได้เรียกเรือแม่น้ำโขงสัญชาติจีนทั้งหมดกลับประเทศเมื่อวันที่ 14 ต.ค.โดยส่งกำลังตำรวจพร้อมอาวุธเข้าสู่น่านน้ำใกล้ท่าเรือและที่ว่าการ อ.เชียงแสน และทำการคุ้มกันคาราวานเรือสินค้า 26 ลำกลับท่าเรือกวนเหล่ย มณฑลหยุนหนัน อันเป็นเมืองท่าหน้าด่านของจีนติดกับแขวงไชยบุรี สปป.ลาว ระยะทางประมาณ 264 กิโลเมตร
และต่อมา “จายหน่อคำ” ที่ถูกระบุว่า เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย ได้ถูกเจ้าหน้าที่ สปป.ลาว จับกุมได้ ก่อนที่ สป.จีนจะส่งเครื่องบินมารับตัวไปสอบสวนที่ประเทศจีนในเวลาต่อมา ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า “จายหน่อคำ” ได้ให้การซัดทอดผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ด้วย โดยหลายคนเป็นเจ้าหน้าที่ของไทยที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ช่วงที่เกิดเหตุด้วย