วานนี้(26 ก.พ.55) นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงกรณีการทุจริตการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินของกระทรวงการคลัง วงเงิน 17,834 ล้านบาท ในสมัยรัฐบาลนายอสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในสมัยนายกรณ์ จาติกวณิช เป็นรมว.คลังได้แก้ไขระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2552 เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2552 เพื่อให้ส่วนราชการที่มีเงินทดรองราชการมีอำนาจโอนเงินทดรองราชการให้สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด(ปภ.) ให้ผู้ว่าราชการจังหวัดนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
ซึ่งการแก้ระเบียบดังกล่าวเปิดช่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพากันประกาศภัยพิบัติต่างๆ เพื่อเบิกเงินทดรองราชการมาใช้จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยเงินทดรองราชการที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ภัยพิบัติจากโรคระบาดพืชที่ปี 2554 เบิกใช้ไปถึง 3,322 ล้านบาท ซึ่งพบว่า ผู้ว่าฯมีการโอนเงินทดรองราชการมาให้นายอำเภอจัดซื้อยาแก้โรคระบาดไปแจกชาวบ้าน ด้วยวิธีฉุกเฉินเร่งด่วนยิ่งกว่าวิธีพิเศษกับบริษัทที่ติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งที่บางพื้นที่ไม่ได้เกิดโรคระบาดจริง
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีมหาศาลกำไรยิ่งกว่าขายยาบ้า เช่น ยาเบนโนมิล ป้องกันโรคไหม้ใบข้าว มีการขายให้ราชการ 1,920 บาทต่อขวด ทั้งที่ราคาซื้อขายในท้องตลาดอยูที่ 250 บาทต่อขวด กำไรถึง 7 เท่าตัว โดยเฉพาะจ.มหาสารคาม ในปี 2554 ได้งบทดรองราชการเพื่อแก้ปัญหาศัตรูพืชระบาดเกือบ 330 ล้านบาท ทั้งที่ตนเป็นส.ส.มหาสารคาม แต่กลับไม่ทราบเรื่องเลยว่า มีโรคระบาดพืชเกิดขึ้น
เห็นได้ชัดเจนว่า มีการใช้เงินทดรองราชการในทางไม่โปร่งใส เพราะไม่ได้เกิดโรคระบาดในพืชจริง ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ต้องร่วมรับผิดชอบเงิน 17,834 ล้านบาท เพราะเกิดขึ้นสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งในวันที่ 27 ก.พ.จะไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ตรวจสอบการใช้เงินทดรองราชการดังกล่าวที่ส่อไปในทางทุจริต รวมถึงจะให้ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อไปด้วย
ซึ่งการแก้ระเบียบดังกล่าวเปิดช่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพากันประกาศภัยพิบัติต่างๆ เพื่อเบิกเงินทดรองราชการมาใช้จัดซื้อจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ โดยเงินทดรองราชการที่นิยมใช้มากที่สุดคือ ภัยพิบัติจากโรคระบาดพืชที่ปี 2554 เบิกใช้ไปถึง 3,322 ล้านบาท ซึ่งพบว่า ผู้ว่าฯมีการโอนเงินทดรองราชการมาให้นายอำเภอจัดซื้อยาแก้โรคระบาดไปแจกชาวบ้าน ด้วยวิธีฉุกเฉินเร่งด่วนยิ่งกว่าวิธีพิเศษกับบริษัทที่ติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว ทั้งที่บางพื้นที่ไม่ได้เกิดโรคระบาดจริง
ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวมีมหาศาลกำไรยิ่งกว่าขายยาบ้า เช่น ยาเบนโนมิล ป้องกันโรคไหม้ใบข้าว มีการขายให้ราชการ 1,920 บาทต่อขวด ทั้งที่ราคาซื้อขายในท้องตลาดอยูที่ 250 บาทต่อขวด กำไรถึง 7 เท่าตัว โดยเฉพาะจ.มหาสารคาม ในปี 2554 ได้งบทดรองราชการเพื่อแก้ปัญหาศัตรูพืชระบาดเกือบ 330 ล้านบาท ทั้งที่ตนเป็นส.ส.มหาสารคาม แต่กลับไม่ทราบเรื่องเลยว่า มีโรคระบาดพืชเกิดขึ้น
เห็นได้ชัดเจนว่า มีการใช้เงินทดรองราชการในทางไม่โปร่งใส เพราะไม่ได้เกิดโรคระบาดในพืชจริง ดังนั้นนายอภิสิทธิ์ และนายกรณ์ต้องร่วมรับผิดชอบเงิน 17,834 ล้านบาท เพราะเกิดขึ้นสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ซึ่งในวันที่ 27 ก.พ.จะไปยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ตรวจสอบการใช้เงินทดรองราชการดังกล่าวที่ส่อไปในทางทุจริต รวมถึงจะให้ป.ป.ช.ตรวจสอบต่อไปด้วย
