ASTV ผู้จัดการรายวัน - "มนตรี"ยอมรับส่วนตัวเห็นด้วยกับการยกเลิกเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ ชี้ภาพรวมในประเทศการแข่งขันในอุตสาหกรรมกำลังเดินมาอย่างถูกทาง คือแข่งขันในด้านคุณภาพ หวั่นเมื่อเปิดเสรีฯอาจทำให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภค และผู้ประกอบธุรกิจรายอื่น ภาพรวมค่าคอมมิชชั่นไทยต่ำสุด
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)หรือ MBKET กล่าวถึงการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวทางยกเลิกการเปิดเสรีดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้จำนวนโบรกเกอร์ในประเทศไทยก็มีอยู่มากแล้ว อีกทั้งในด้านการแข่งขันมองว่า ขณะนี้ทั้งอุตสาหกรรมก็เดินมาถูกทาง ซึ่งจะเห็นได้ว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่เน้นคุณภาพงานวิจัย การให้ข้อมูลข่าวสาร จึงทำให้ เป็นการการแข่งขันที่ทำให้อุตสาหกรรมมีเสถียรภาพ
ขณะเดียวกันมองว่า การเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์อาจนำไปสู่การแข่งขันที่เอาเปรียบผู้บริโภค โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของโบรกเกอร์ต้นทุนต่ำที่ไม่เน้นการพัฒนางานวิจัย แต่ให้ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น)ในราคาต่ำกว่ารายอื่นแทน ซึ่งจุดนี้มองว่าอาจจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นได้ และอาจนำไปสู่การเอาเปรียบผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมด้วยกัน โดยเฉพาะการคัดลอกบทวิเคราะห์จากที่อื่นไปใช้ประโยชน์ หรือการแย่งชิงบุคลากร
"เรื่องนี้อาจเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้เกิดการดำเนินธุรกิจที่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะจากการประชุมหารือกับโบรกเกอร์ในมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาก็เห็นว่าการแข่งขันของโบรกเกอร์ไทยอยู่ในระดับที่เข้มข้น ราคาคอมมิชชั่นของเราก็ต่ำกว่าภูมิภาค โดยของมาเลเซียและสิงคโปร์จะอยู่ที่ประมาณ 0.2-0.3% ขณะที่ของไทยเฉลี่ยประมาณ 0.16-0.18% อีกทั้งโครงสร้างราคาคอมมิชชันของไทยเป็นแบบขั้นบันได ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสม ดังนั้นส่วนตัวจึงมองว่าไม่จำเป็น"นายมนตรี กล่าว
ส่วนหากจะยกเลิกการเปิดเสรี ซีอีโอMBKET มองว่าคงต้องเข้าไปหารือกันในสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ว่าจะสามารถดำเนินการแนวทางใด และมีประเด็นใดที่ต้องพิจารณา เช่น เรื่องของใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์(ไลเซนส์)และโครงสร้างคอมมิชชัน ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมที่จะให้ความร่วมมือตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์(บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)จำกัด (มหาชน)หรือ MBKET กล่าวถึงการเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์ว่า ส่วนตัวเห็นด้วยกับแนวทางยกเลิกการเปิดเสรีดังกล่าว เนื่องจากขณะนี้จำนวนโบรกเกอร์ในประเทศไทยก็มีอยู่มากแล้ว อีกทั้งในด้านการแข่งขันมองว่า ขณะนี้ทั้งอุตสาหกรรมก็เดินมาถูกทาง ซึ่งจะเห็นได้ว่าโบรกเกอร์ส่วนใหญ่เน้นคุณภาพงานวิจัย การให้ข้อมูลข่าวสาร จึงทำให้ เป็นการการแข่งขันที่ทำให้อุตสาหกรรมมีเสถียรภาพ
ขณะเดียวกันมองว่า การเปิดเสรีธุรกิจหลักทรัพย์อาจนำไปสู่การแข่งขันที่เอาเปรียบผู้บริโภค โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของโบรกเกอร์ต้นทุนต่ำที่ไม่เน้นการพัฒนางานวิจัย แต่ให้ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (ค่าคอมมิชชั่น)ในราคาต่ำกว่ารายอื่นแทน ซึ่งจุดนี้มองว่าอาจจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นได้ และอาจนำไปสู่การเอาเปรียบผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมด้วยกัน โดยเฉพาะการคัดลอกบทวิเคราะห์จากที่อื่นไปใช้ประโยชน์ หรือการแย่งชิงบุคลากร
"เรื่องนี้อาจเป็นการเพิ่มแรงกดดันให้เกิดการดำเนินธุรกิจที่เอาเปรียบผู้บริโภค เพราะจากการประชุมหารือกับโบรกเกอร์ในมาเลเซีย สิงคโปร์ เขาก็เห็นว่าการแข่งขันของโบรกเกอร์ไทยอยู่ในระดับที่เข้มข้น ราคาคอมมิชชั่นของเราก็ต่ำกว่าภูมิภาค โดยของมาเลเซียและสิงคโปร์จะอยู่ที่ประมาณ 0.2-0.3% ขณะที่ของไทยเฉลี่ยประมาณ 0.16-0.18% อีกทั้งโครงสร้างราคาคอมมิชชันของไทยเป็นแบบขั้นบันได ซึ่งถือว่ามีความเหมาะสม ดังนั้นส่วนตัวจึงมองว่าไม่จำเป็น"นายมนตรี กล่าว
ส่วนหากจะยกเลิกการเปิดเสรี ซีอีโอMBKET มองว่าคงต้องเข้าไปหารือกันในสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ว่าจะสามารถดำเนินการแนวทางใด และมีประเด็นใดที่ต้องพิจารณา เช่น เรื่องของใบอนุญาตประกอบธุรกิจหลักทรัพย์(ไลเซนส์)และโครงสร้างคอมมิชชัน ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าทุกฝ่ายพร้อมที่จะให้ความร่วมมือตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง