ASTVผู้จัดการรายวัน - แบงก์เกียรตินาคินตั้งเป้าสินเชื่อปีนี้โต 21% รับแรงกดดันสูง จาก NIM ที่ลดลง ชี้ยอดบีอีหดหายแน่ หากเก็บเงินสมทบเข้ากองทุนฯในอัตราเดียวกับเงินฝาก
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)(KK) กล่าวว่า เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปีนี้ ได้ตั้งเป้าสินเชื่อรวมเติบโตที่ระดับ 21% แบ่งเป็นส่วนของสินเชื่อรายย่อยเติบโต 12% และสินเชื่อธุริกจเติบโต 19%โดยปัจจัยที่กระทบต่อสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของธนาคาร เป็นเรื่องราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะผันผวนมากน้อยเพียงใด
"แรงกดดันในการทำกำไรของธนาคารในปี 55 จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหมือนกันทั้งระบบ มาจากแรงกดดันต่อเนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่จะแคบลง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ข้อสรุปการเรียกเก็บเงินนำส่งฐานเงินฝากและตั๋วบีอีของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเงินฝากและเงินกู้ยืมของธนาคารไม่ลดลง โดยปัจจุบัน NIM ของธนาคารอยู่ที่ 4.3% ซึ่งหากไม่มีกรณีดังกล่าวธนาคารคาดว่าจะยังสามารถรักษาระดับนี้ไว้ได้ถึงสิ้นปีนี้"
ทั้งนี้ กรณีที่มีการปรับเพิ่มกฏเกณฑ์การนำส่งเงินเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากในอัตราเดียวกัน ทั้งเงินฝากและตั๋วบีอี จะทำให้ปริมาณการออกบีอีปีนี้มีน้อยมากหรือไม่มีเลย จะคงเหลือแต่ตั๋วบีอีที่ออกไปแล้วและยังไม่ครบกำหนด ในส่วนของธนาคารปัจจุบันมีฐานบีอีอยู่ที่ 6.77 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะถูกโยกการออมและการลงทุนกลับไปเป็นลูกค้าเงินฝากเช่นเดิม
"ปกติอัตราผลตอบแทนของบีอีจะสูงกว่าเงินฝาก 0.25% เนื่องจากที่ผ่านมาบีอีไม่เก็บ 0.4% แต่ถ้าต่อไปเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบีอีเช่นเดียวกับเงินฝาก ต้นทุก็นเพิ่มขึ้น หากปรับขึ้น 0.4% ทั้งหมด ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น 0.07% และหากเพิ่มขึ้นเป็น 0.50% ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น 0.17% และหากเพิ่มขึ้นอีกเป็น 0.60% ต้นทุนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.27% บีอีก็แทบจะไม่มีความหมาย ไม่มีความจำเป็นต้องออก ลูกค้าก็คงกลับมาฝากเงินฝากเหมือนเดิม จึงพูดได้ว่าปี 55 ตั๋วบีอีคงหายไปในสิ้นปีนี้"
**คาดกนง.ลดดบ.0.25%**
นอกจากนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีก 0.25% ทั้งหมด 3 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความเสี่ยงสูงที่คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่าที่ทุกฝ่ายคาดไว้ โดยธนาคารประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวอย่างน้อยอีก 2 ไตรมาส รวมถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง
นายธวัชไชย สุทธิกิจพิศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)(KK) กล่าวว่า เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปีนี้ ได้ตั้งเป้าสินเชื่อรวมเติบโตที่ระดับ 21% แบ่งเป็นส่วนของสินเชื่อรายย่อยเติบโต 12% และสินเชื่อธุริกจเติบโต 19%โดยปัจจัยที่กระทบต่อสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของธนาคาร เป็นเรื่องราคาพลังงานที่มีแนวโน้มสูงขึ้น รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีความแน่นอนว่าจะผันผวนมากน้อยเพียงใด
"แรงกดดันในการทำกำไรของธนาคารในปี 55 จะเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นเหมือนกันทั้งระบบ มาจากแรงกดดันต่อเนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่จะแคบลง โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ข้อสรุปการเรียกเก็บเงินนำส่งฐานเงินฝากและตั๋วบีอีของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนเงินฝากและเงินกู้ยืมของธนาคารไม่ลดลง โดยปัจจุบัน NIM ของธนาคารอยู่ที่ 4.3% ซึ่งหากไม่มีกรณีดังกล่าวธนาคารคาดว่าจะยังสามารถรักษาระดับนี้ไว้ได้ถึงสิ้นปีนี้"
ทั้งนี้ กรณีที่มีการปรับเพิ่มกฏเกณฑ์การนำส่งเงินเข้าสถาบันคุ้มครองเงินฝากในอัตราเดียวกัน ทั้งเงินฝากและตั๋วบีอี จะทำให้ปริมาณการออกบีอีปีนี้มีน้อยมากหรือไม่มีเลย จะคงเหลือแต่ตั๋วบีอีที่ออกไปแล้วและยังไม่ครบกำหนด ในส่วนของธนาคารปัจจุบันมีฐานบีอีอยู่ที่ 6.77 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้คาดว่าจะถูกโยกการออมและการลงทุนกลับไปเป็นลูกค้าเงินฝากเช่นเดิม
"ปกติอัตราผลตอบแทนของบีอีจะสูงกว่าเงินฝาก 0.25% เนื่องจากที่ผ่านมาบีอีไม่เก็บ 0.4% แต่ถ้าต่อไปเรียกเก็บค่าธรรมเนียมบีอีเช่นเดียวกับเงินฝาก ต้นทุก็นเพิ่มขึ้น หากปรับขึ้น 0.4% ทั้งหมด ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น 0.07% และหากเพิ่มขึ้นเป็น 0.50% ต้นทุนจะเพิ่มขึ้น 0.17% และหากเพิ่มขึ้นอีกเป็น 0.60% ต้นทุนก็จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.27% บีอีก็แทบจะไม่มีความหมาย ไม่มีความจำเป็นต้องออก ลูกค้าก็คงกลับมาฝากเงินฝากเหมือนเดิม จึงพูดได้ว่าปี 55 ตั๋วบีอีคงหายไปในสิ้นปีนี้"
**คาดกนง.ลดดบ.0.25%**
นอกจากนี้ คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอีก 0.25% ทั้งหมด 3 ครั้งภายในปีนี้ ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายในสิ้นปีนี้อยู่ที่ 2.50% จากปัจจุบันอยู่ที่ 3.25% เพื่อเป็นการพยุงเศรษฐกิจไทยท่ามกลางความเสี่ยงสูงที่คาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยจะต่ำกว่าที่ทุกฝ่ายคาดไว้ โดยธนาคารประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะหดตัวอย่างน้อยอีก 2 ไตรมาส รวมถึงความเชื่อมั่นที่ลดลง