ASTV ผู้จัดการรายวัน – วงการคาด ปีนี้ Oil Futures จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเพิ่มขึ้น ให้เวลา 1-2 เดือนดูความชัดเจน เหตุวอลุ่มโตตามราคาน้ำที่ปรับตัวเพิ่ม และจะยิ่งสูงขึ้นหากมีมาร์เกตเมคเกอร์เข้ามา คาดมีโอกาสถูกปรับเพิ่มวงเงินวางหลักประกัน หากราคาน้ำมันยังปรับตัวเพิ่มขึ้นและผันผวนต่อเนื่อง ส่วน Gold Futures เชื่อยังไม่มีการปรับเพิ่ม แต่อาจถูกปรับลดลง ระบุตอนนี้ “ไทยออยล์”เนื้อหอมจัด หลายโบรกฯรุมจีบร่วมมาร์เกตเมคเกอร์ แต่ยังไม่ข้อสรุป มีลุ้นอาจได้เห็นเทรดิ้ง คอมปานี เพื่อดันน้ำมันล่วงหน้าฮอตเหมือนทองกระดาษ
แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตของ Oil Futures ว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเลียมปรับตัวขึ้นนั้น เรื่องดังกล่าวก็ส่งให้ Oil Futures ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนแบบใหม่ที่ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX ที่เปิดให้เข้าลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2554 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย หลังจากที่ผ่านมายังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร ซึ่งภาพรวมมองว่ายังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 – 2 เดือน สินค้าอนุพันธ์ประเภทดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นกว่านี้ เพราะน่าจะมีมาร์เกตเมคเกอร์เข่าช่วยเพิ่มสภาพคล่อง บวกกับราคาน้ำมันจะขยับตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
“ตอนนี้วอลุ่มเทรดเฉลี่ยของ Oil Futures ต่อวันตั้งแต่ต้นปี2555 มีมากกว่า 100 สัญญา/วัน ถือว่าเติบโตขึ้นมากกว่าช่วงแรกๆที่อยู่ประมาณ 60 สัญญา/วัน ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นหากได้มาร์เกตเมคเกอร์เข้ามาเป็นที่เรียบร้อย น่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้มากนี้ ซึ่งจะยิ่งดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพื่อเก็งกำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมากขึ้น”
อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ. Thailand Clearing House Co.,Ltd. (TCH) จะปรับเพิ่มสัดส่วนการวางหลักประกันขั้นต่ำของ Oil Futures เพิ่มขึ้นจากในปีที่ผ่านมา TCH ได้ปรับลดวงเงินดังกล่าวลง ตามราคาน้ำมันที่ขยับตัวขึ้นมา
ส่วน Gold Futures นั้น มองว่า แม้ราคาทองคำจะเริ่มขยับตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็จะไม่มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการวางหลักประกันขั้นต่ำ เนื่องจากที่ผ่านมาราคาทองคำอยู่ในขาลงมาต่อเนื่อง และเพิ่งจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเพียงไม่กี่วันทำการของปีนี้ อีกทั้งหากมองในภาพรวมก็มีโอกาสถูกปรับลดวงเงินดังกล่าว ตามราคาที่ลดลงมาในระดับต่ำมาหลายเดือน
“การปรับลดและเพิ่มการวางหลักประกันขั้นต่ำนั้น TCH จะคำนวณจากความผันผวนของราคาทองคำในช่วง 2- 3เดือนที่ผ่านมาก่อนว่ามีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน แต่หากราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส ยังทรงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกสัก 1 เดือน ก็มีความเป็นไปได้ที่ TCH อาจปรับลดวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์”
ปัจจุบัน ชมรมผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(เอฟไอคลับ) ยังคงกำหนดวงเงินการวางหลักประกันขั้นต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนโกลด์ ฟิวเจอร์ส ขนาดน้ำหนัก 50 บาททองคำ/สัญญา ไว้ที่ 104,500 บาท
ด้าน ภาพรวมการซื้อขาย ซิลเวอร์ ฟิวเจอร์ส ที่ผ่านมามองว่ายังไม่ได้รับความนใจเท่าที่ควรเห็นได้จากปริมาณสัญญาซื้อขายที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความสนใจของนักลงทุนต่อสินค้าประเภทนี้ ยังมีน้อยกว่าทองคำมาก อีกทั้งที่ผ่านมามาร์เกตเมคเกอร์ ยังทำตลาดไม่ค่อยดีเท่าใด โดยพบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนที่ลงทุนในซิลเวอร์ฟิวเจอร์ส ยังเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไร เนื่องจากการลงทุนในสินค้าจริงอย่างโลหะเงินแท่ง ผู้ลงทุนต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม7% ในการซื้อและขายซึ่งมีผลให้แทบไม่เหลือกำไรต่อการลงทุนเท่าที่ควร
**หลายโบรกฯรุมจีบ “ไทยออยล์”
กลับมาที่ สินค้าอย่าง ออยล์ ฟิวเจอร์ส แหล่งข่าวกล่าวว่า ตอนนี้พบว่ามีบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์หลายแห่งกำลังเข้าเจรจากับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เพื่อชักชวนให้เข้ามาร่วมกับบริษัทตนในการเป็นมาร์เกตเมคเกอร์ให้กับสินค้าอนุพันธ์ประเภทนี้ เนื่องจาก TOP เป็นผู้ประกอบธุกริจผลิตและกลั่นน้ำมันรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์ แต่หาก บมจ.ไทยออยล์ตัดสินใจร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์รายใดรายหนึ่ง ก็จะไม่สามารถรวมงานกับโบรกเกอร์รายอื่นได้ เรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตาของคนในวงการตลาดอนุพันธ์ ว่าสุดท้ายจะลงเอยเช่นใด เพราะปัจจุบัน ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากบริษัทผู้ผลิตและกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในเครือของปตท. ออกมา เนื่องจากอยู่ในช่วงการเปบี่ยนแปลงผู้บริหาร ทำให้เรื่องดังกล่าวถูกชะลอออกไปด้วย
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวเริ่มมีการคาดการณ์ว่าสุดท้ายแล้ว เพื่อให้สินค้าออยล์ ฟิวเจอร์สเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนตามแผนงานของตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) ก็อาจมีการขอให้ บมจ.ไทยออยล์ จดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นเพื่อทำหน้าหน้าที่เป็นมาร์เกตเมคเกอร์โดยตรงในลักษณะ เทรดดิ้ง คอมปานี ซึ่งจะสามารถใช้ช่องทางผ่านโบรกเกอร์ได้หลายๆแห่ง ซึ่งจะเป็นการ เพิ่มความสะดวก และสภาพคล่องของออยล์ ฟิวเจอร์สได้ดียิ่งขึ้น
“แนวคิดเรื่องนี้ เคยมีมาแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งโกลด์ ฟิวเจอร์ส ตลาดอนุพันธ์เคยมีแผนจะดึงบริษัทค้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามา โดยให้ทำผ่านโบรกเกอร์ไทยที่เป็นสมาชิก รวมทั้งมีแนวคิดในเรื่องเทรดดิ้ง คอมปานีมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ชัด และทุกฝ่ายก็กำลังเฝ้าความชัดเจนจาก บมจ.ไทยออยล์ รวมทั้งตลาดอนุพันธ์ก็ยังมั่นใจว่าแม้จะมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร แต่แผนงานที่วางไว้ร่วมกันไม่น่าจะล้มลงไปด้วยแน่”
สำหรับ ปี 2554 ตลาดอนุพันธ์ มีการเติบโตทั้งด้านปริมาณการซื้อขายและจำนวนผู้ลงทุน โดยปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10,027,116 สัญญาหรือเฉลี่ยวันละ 41,145 สัญญา เทียบกับปี2553 ซึ่งมี 4,519,436 สัญญา หรือ วันละ18,676 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 120% ปัจจัยสำคัญมาจากธุรกรรมของ Gold Futures ที่มีการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่าจาก 971,423 สัญญาในปี 2553 เป็น 3,989,278 สัญญา ในปี 2554 และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 16,350 สัญญา เนื่องจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งTFEX เปิด.shขยายเวลาซื้อขายในภาคค่ำไปจนถึงสี่ทุ่มครึ่งตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา
สำหรับอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์โลก ได้แก่ Gold Futures, Silver Futures และ Oil Futures
โดย ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2554 สัดส่วนการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์นั้นส่วนใหญ่ยังคงมาจากผู้ลงทุนรายบุคคลในประเทศที่ 60% ผู้ลงทุนต่างประเทศ 33.6% และผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 6.4% ด้านโบรกเกอร์อนุพันธ์ที่มีปริมาณการซื้อขายโดยรวมสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ บล.โกลเบล็ก มีสัดส่วนการซื้อขาย11.28% บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) 8.44% บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) 7.4% บ.เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ 5.67% และ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) 5.42% ตามลำดับ
ขณะที่อันดับโบรกเกอร์ที่ซื้อขายสินค้ากลุ่ม Gold Futures และ Silver Futures สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บล.โกลเบล็ก มีสัดส่วนการซื้อขาย18.66% บ. เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ 14.14% บ.จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ 10.64% บ. ออสสิริส ฟิวเจอร์ส
10.14% และ บ. วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส 6.9% ตามลำดับ
ทั้งนี้ TFEX จะร่วมกับสมาชิกตลาดอนุพันธ์และพันธมิตรในด้านการขยายฐานผู้ลงทุน รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องของอนุพันธ์ที่มีในปัจจุบัน โดยจะสนับสนุนให้บริษัทสมาชิกขยายการทำธุรกิจในการเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องซึ่งจะเน้นทั้งอนุพันธ์ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ SET50 Futures และ Gold Futuresและอนุพันธ์ที่เพิ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมาคือ Silver Futures และ Oil Futures รวมถึงสินค้าใหม่ในปีนี้อย่าง ดอลลาร์ล่วงหน้า (US Dollar Futures) ซึ่ง silver futures เริ่มซื้อขายในเดือนมิถุนายน 2554 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจนถึงสิ้นปีอยู่ที่ 236 สัญญา ขณะที่ oilfutures มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันตั้งแต่เริ่มซื้อขายถึงสิ้นปีอยู่ที่ 64 สัญญา
แหล่งข่าวรายหนึ่งกล่าวถึงแนวโน้มการเติบโตของ Oil Futures ว่า จากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะธุรกิจปิโตรเลียมปรับตัวขึ้นนั้น เรื่องดังกล่าวก็ส่งให้ Oil Futures ซึ่งเป็นเครื่องมือการลงทุนแบบใหม่ที่ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) หรือ TFEX ที่เปิดให้เข้าลงทุนมาตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2554 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นตามไปด้วย หลังจากที่ผ่านมายังไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าที่ควร ซึ่งภาพรวมมองว่ายังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 1 – 2 เดือน สินค้าอนุพันธ์ประเภทดังกล่าวจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นกว่านี้ เพราะน่าจะมีมาร์เกตเมคเกอร์เข่าช่วยเพิ่มสภาพคล่อง บวกกับราคาน้ำมันจะขยับตัวตามการเติบโตของเศรษฐกิจ
“ตอนนี้วอลุ่มเทรดเฉลี่ยของ Oil Futures ต่อวันตั้งแต่ต้นปี2555 มีมากกว่า 100 สัญญา/วัน ถือว่าเติบโตขึ้นมากกว่าช่วงแรกๆที่อยู่ประมาณ 60 สัญญา/วัน ส่วนหนึ่งมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นหากได้มาร์เกตเมคเกอร์เข้ามาเป็นที่เรียบร้อย น่าจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องได้มากนี้ ซึ่งจะยิ่งดึงดูดนักลงทุนเข้ามาลงทุนเพื่อเก็งกำไรทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมากขึ้น”
อย่างไรก็ดี มีความเป็นไปได้เช่นกัน ที่บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ. Thailand Clearing House Co.,Ltd. (TCH) จะปรับเพิ่มสัดส่วนการวางหลักประกันขั้นต่ำของ Oil Futures เพิ่มขึ้นจากในปีที่ผ่านมา TCH ได้ปรับลดวงเงินดังกล่าวลง ตามราคาน้ำมันที่ขยับตัวขึ้นมา
ส่วน Gold Futures นั้น มองว่า แม้ราคาทองคำจะเริ่มขยับตัวเพิ่มขึ้น แต่ก็จะไม่มีการปรับเพิ่มสัดส่วนการวางหลักประกันขั้นต่ำ เนื่องจากที่ผ่านมาราคาทองคำอยู่ในขาลงมาต่อเนื่อง และเพิ่งจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเพียงไม่กี่วันทำการของปีนี้ อีกทั้งหากมองในภาพรวมก็มีโอกาสถูกปรับลดวงเงินดังกล่าว ตามราคาที่ลดลงมาในระดับต่ำมาหลายเดือน
“การปรับลดและเพิ่มการวางหลักประกันขั้นต่ำนั้น TCH จะคำนวณจากความผันผวนของราคาทองคำในช่วง 2- 3เดือนที่ผ่านมาก่อนว่ามีความผันผวนมากน้อยแค่ไหน แต่หากราคาโกลด์ฟิวเจอร์ส ยังทรงอยู่ในระดับต่ำต่อไปอีกสัก 1 เดือน ก็มีความเป็นไปได้ที่ TCH อาจปรับลดวงเงินดังกล่าวให้สอดคล้องกับสถานการณ์”
ปัจจุบัน ชมรมผู้ประกอบธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า(เอฟไอคลับ) ยังคงกำหนดวงเงินการวางหลักประกันขั้นต่ำสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนโกลด์ ฟิวเจอร์ส ขนาดน้ำหนัก 50 บาททองคำ/สัญญา ไว้ที่ 104,500 บาท
ด้าน ภาพรวมการซื้อขาย ซิลเวอร์ ฟิวเจอร์ส ที่ผ่านมามองว่ายังไม่ได้รับความนใจเท่าที่ควรเห็นได้จากปริมาณสัญญาซื้อขายที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากความสนใจของนักลงทุนต่อสินค้าประเภทนี้ ยังมีน้อยกว่าทองคำมาก อีกทั้งที่ผ่านมามาร์เกตเมคเกอร์ ยังทำตลาดไม่ค่อยดีเท่าใด โดยพบว่าส่วนใหญ่นักลงทุนที่ลงทุนในซิลเวอร์ฟิวเจอร์ส ยังเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่าการเก็งกำไร เนื่องจากการลงทุนในสินค้าจริงอย่างโลหะเงินแท่ง ผู้ลงทุนต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม7% ในการซื้อและขายซึ่งมีผลให้แทบไม่เหลือกำไรต่อการลงทุนเท่าที่ควร
**หลายโบรกฯรุมจีบ “ไทยออยล์”
กลับมาที่ สินค้าอย่าง ออยล์ ฟิวเจอร์ส แหล่งข่าวกล่าวว่า ตอนนี้พบว่ามีบริษัทหลักทรัพย์ หรือโบรกเกอร์หลายแห่งกำลังเข้าเจรจากับ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน)(TOP) เพื่อชักชวนให้เข้ามาร่วมกับบริษัทตนในการเป็นมาร์เกตเมคเกอร์ให้กับสินค้าอนุพันธ์ประเภทนี้ เนื่องจาก TOP เป็นผู้ประกอบธุกริจผลิตและกลั่นน้ำมันรายใหญ่ ที่มีประสบการณ์ แต่หาก บมจ.ไทยออยล์ตัดสินใจร่วมมือกับบริษัทหลักทรัพย์รายใดรายหนึ่ง ก็จะไม่สามารถรวมงานกับโบรกเกอร์รายอื่นได้ เรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตาของคนในวงการตลาดอนุพันธ์ ว่าสุดท้ายจะลงเอยเช่นใด เพราะปัจจุบัน ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากบริษัทผู้ผลิตและกลั่นน้ำมันรายใหญ่ในเครือของปตท. ออกมา เนื่องจากอยู่ในช่วงการเปบี่ยนแปลงผู้บริหาร ทำให้เรื่องดังกล่าวถูกชะลอออกไปด้วย
ทั้งนี้ เรื่องดังกล่าวเริ่มมีการคาดการณ์ว่าสุดท้ายแล้ว เพื่อให้สินค้าออยล์ ฟิวเจอร์สเป็นที่ยอมรับของนักลงทุนตามแผนงานของตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) ก็อาจมีการขอให้ บมจ.ไทยออยล์ จดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นเพื่อทำหน้าหน้าที่เป็นมาร์เกตเมคเกอร์โดยตรงในลักษณะ เทรดดิ้ง คอมปานี ซึ่งจะสามารถใช้ช่องทางผ่านโบรกเกอร์ได้หลายๆแห่ง ซึ่งจะเป็นการ เพิ่มความสะดวก และสภาพคล่องของออยล์ ฟิวเจอร์สได้ดียิ่งขึ้น
“แนวคิดเรื่องนี้ เคยมีมาแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มก่อตั้งโกลด์ ฟิวเจอร์ส ตลาดอนุพันธ์เคยมีแผนจะดึงบริษัทค้าทองคำจากต่างประเทศเข้ามา โดยให้ทำผ่านโบรกเกอร์ไทยที่เป็นสมาชิก รวมทั้งมีแนวคิดในเรื่องเทรดดิ้ง คอมปานีมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ชัด และทุกฝ่ายก็กำลังเฝ้าความชัดเจนจาก บมจ.ไทยออยล์ รวมทั้งตลาดอนุพันธ์ก็ยังมั่นใจว่าแม้จะมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหาร แต่แผนงานที่วางไว้ร่วมกันไม่น่าจะล้มลงไปด้วยแน่”
สำหรับ ปี 2554 ตลาดอนุพันธ์ มีการเติบโตทั้งด้านปริมาณการซื้อขายและจำนวนผู้ลงทุน โดยปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นเป็น 10,027,116 สัญญาหรือเฉลี่ยวันละ 41,145 สัญญา เทียบกับปี2553 ซึ่งมี 4,519,436 สัญญา หรือ วันละ18,676 สัญญา ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 120% ปัจจัยสำคัญมาจากธุรกรรมของ Gold Futures ที่มีการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่าจาก 971,423 สัญญาในปี 2553 เป็น 3,989,278 สัญญา ในปี 2554 และมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันที่ 16,350 สัญญา เนื่องจากราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมทั้งTFEX เปิด.shขยายเวลาซื้อขายในภาคค่ำไปจนถึงสี่ทุ่มครึ่งตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา
สำหรับอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับสินค้าโภคภัณฑ์โลก ได้แก่ Gold Futures, Silver Futures และ Oil Futures
โดย ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2554 สัดส่วนการซื้อขายของตลาดอนุพันธ์นั้นส่วนใหญ่ยังคงมาจากผู้ลงทุนรายบุคคลในประเทศที่ 60% ผู้ลงทุนต่างประเทศ 33.6% และผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ 6.4% ด้านโบรกเกอร์อนุพันธ์ที่มีปริมาณการซื้อขายโดยรวมสูงสุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ บล.โกลเบล็ก มีสัดส่วนการซื้อขาย11.28% บล. ฟิลลิป (ประเทศไทย) 8.44% บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) 7.4% บ.เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ 5.67% และ บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) 5.42% ตามลำดับ
ขณะที่อันดับโบรกเกอร์ที่ซื้อขายสินค้ากลุ่ม Gold Futures และ Silver Futures สูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ บล.โกลเบล็ก มีสัดส่วนการซื้อขาย18.66% บ. เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ 14.14% บ.จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ 10.64% บ. ออสสิริส ฟิวเจอร์ส
10.14% และ บ. วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส 6.9% ตามลำดับ
ทั้งนี้ TFEX จะร่วมกับสมาชิกตลาดอนุพันธ์และพันธมิตรในด้านการขยายฐานผู้ลงทุน รวมทั้งจะให้ความสำคัญกับเรื่องของการเพิ่มสภาพคล่องของอนุพันธ์ที่มีในปัจจุบัน โดยจะสนับสนุนให้บริษัทสมาชิกขยายการทำธุรกิจในการเป็นผู้ดูแลสภาพคล่องซึ่งจะเน้นทั้งอนุพันธ์ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ SET50 Futures และ Gold Futuresและอนุพันธ์ที่เพิ่งเปิดตัวในปีที่ผ่านมาคือ Silver Futures และ Oil Futures รวมถึงสินค้าใหม่ในปีนี้อย่าง ดอลลาร์ล่วงหน้า (US Dollar Futures) ซึ่ง silver futures เริ่มซื้อขายในเดือนมิถุนายน 2554 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันจนถึงสิ้นปีอยู่ที่ 236 สัญญา ขณะที่ oilfutures มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันตั้งแต่เริ่มซื้อขายถึงสิ้นปีอยู่ที่ 64 สัญญา