วานนี้ ( 13 ม.ค.) นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านกิจการสืบสวนสอบสวนและ
วินิจฉัย กล่าวถึงกรณีกกต.มีมติให้ส่งคำวินิจฉัยนายจตุพร พรหมพันธุ์ สิ้นสุดสมาชิกภาพ
ความเป็นส.ส. ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ทราบว่า
เจ้าหน้าที่กกต.ได้ส่งคำวินิจฉัยดังกล่าวไปยังประธานสภาฯแล้ว ส่วนตัวขณะนี้ก็รู้สึกเบาใจ
ซึ่งความรู้สึกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของกกต. จากนี้ก็เป็นเรื่อง
ของประธานสภาฯ ว่าจะพิจารณาดำเนินการอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ กกต.ไม่ใช่ศัตรูที่จะจ้องเล่นงานนายจตุพร เพราะต่างคนก็ต่างเป็นประชาชน
แต่ในเมื่อมีเรื่องร้องเรียนเข้ามา กกต.ก็ต้องทำตามอำนาจหน้าที่ เพราะถ้าไม่ดำเนินการ ก็จะ
ถูกข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
" ส่วนข้อกังวลว่า ประธานสภาฯเป็นคนของพรรคเพื่อไทย อาจจะมีการดึงเรื่อง
เพื่อช่วยเหลือนายจตุพรนั้น เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่อิสระของประธานสภาฯ ที่จะพิจารณาว่า
จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ท่านเป็นถึงประธานสภาฯ ย่อมมีวิจารณญาณ ส่วนความเห็น
ด้านกฎหมายประเทศเรามองได้หลายมุม บางครั้งก็เปลี่ยนไปตามระยะเวลา แต่คำวินิจฉัยที่
ส่งไปนั้น คิดว่าหากอ่านเหตุผลการสิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็นส.ส.แล้ว ก็ถือว่าค่อนข้าง
ชัดเจน ถ้าเห็นว่าคำวินิจฉัยของกกต.ยังไม่ชัดเจน หรือต้องแก้ไขตรงไหน ก็บอกกกต.ได้ เรา
ยินดีรับฟัง" นายสมชัย กล่าว
เมื่อถามว่าประธานสภาฯ มีสิทธิที่จะไม่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
หรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของสิทธิ แต่เป็นอำนาจหน้าที่
ความรับผิดชอบของประธานสภาฯ ซึ่งระยะเวลาในการพิจารณาของประธานสภาฯ
กฎหมายไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาไว้ แต่ก็ควรอยู่ในเวลาที่พอสมควร ตนเชื่อว่าสื่อมวล
ชน จะคอยติดตาม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ
ทั้งนี้ตนยังเชื่อว่า ความเห็นส่วนตัวของตนเองที่เห็นว่าการพิจารณาว่า นายจตุพร
ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคจนเป็นเหตุให้สิ้นสุดความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. ควรให้ศาล
ปกครองเป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อนนั้น คงจะไม่ถูกนำไปเป็นข้ออ้างในการสู้คดี และนายจตุพร
คงไม่อ้างตนเองไปเป็นพยานในศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากตนเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้
วินิจฉัย กล่าวถึงกรณีกกต.มีมติให้ส่งคำวินิจฉัยนายจตุพร พรหมพันธุ์ สิ้นสุดสมาชิกภาพ
ความเป็นส.ส. ต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ทราบว่า
เจ้าหน้าที่กกต.ได้ส่งคำวินิจฉัยดังกล่าวไปยังประธานสภาฯแล้ว ส่วนตัวขณะนี้ก็รู้สึกเบาใจ
ซึ่งความรู้สึกต่างจากก่อนหน้านี้ ที่เรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างพิจารณาของกกต. จากนี้ก็เป็นเรื่อง
ของประธานสภาฯ ว่าจะพิจารณาดำเนินการอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ กกต.ไม่ใช่ศัตรูที่จะจ้องเล่นงานนายจตุพร เพราะต่างคนก็ต่างเป็นประชาชน
แต่ในเมื่อมีเรื่องร้องเรียนเข้ามา กกต.ก็ต้องทำตามอำนาจหน้าที่ เพราะถ้าไม่ดำเนินการ ก็จะ
ถูกข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่
" ส่วนข้อกังวลว่า ประธานสภาฯเป็นคนของพรรคเพื่อไทย อาจจะมีการดึงเรื่อง
เพื่อช่วยเหลือนายจตุพรนั้น เรื่องนี้เป็นอำนาจหน้าที่อิสระของประธานสภาฯ ที่จะพิจารณาว่า
จะดำเนินการอย่างไรต่อไป ท่านเป็นถึงประธานสภาฯ ย่อมมีวิจารณญาณ ส่วนความเห็น
ด้านกฎหมายประเทศเรามองได้หลายมุม บางครั้งก็เปลี่ยนไปตามระยะเวลา แต่คำวินิจฉัยที่
ส่งไปนั้น คิดว่าหากอ่านเหตุผลการสิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็นส.ส.แล้ว ก็ถือว่าค่อนข้าง
ชัดเจน ถ้าเห็นว่าคำวินิจฉัยของกกต.ยังไม่ชัดเจน หรือต้องแก้ไขตรงไหน ก็บอกกกต.ได้ เรา
ยินดีรับฟัง" นายสมชัย กล่าว
เมื่อถามว่าประธานสภาฯ มีสิทธิที่จะไม่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ
หรือไม่ นายสมชัย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของสิทธิ แต่เป็นอำนาจหน้าที่
ความรับผิดชอบของประธานสภาฯ ซึ่งระยะเวลาในการพิจารณาของประธานสภาฯ
กฎหมายไม่ได้กำหนดกรอบระยะเวลาไว้ แต่ก็ควรอยู่ในเวลาที่พอสมควร ตนเชื่อว่าสื่อมวล
ชน จะคอยติดตาม เพราะเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ
ทั้งนี้ตนยังเชื่อว่า ความเห็นส่วนตัวของตนเองที่เห็นว่าการพิจารณาว่า นายจตุพร
ขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคจนเป็นเหตุให้สิ้นสุดความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. ควรให้ศาล
ปกครองเป็นผู้วินิจฉัยเสียก่อนนั้น คงจะไม่ถูกนำไปเป็นข้ออ้างในการสู้คดี และนายจตุพร
คงไม่อ้างตนเองไปเป็นพยานในศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากตนเป็นผู้มีส่วนได้เสียในคดีนี้