*วิถีการแพทย์เชิงโภชนาการของหมอคนหนึ่ง*
บนเส้นทางของการศึกษาและปฏิบัติ วิถีแห่งสุขภาพเชิงบูรณาการ ของผมนั้น ตัวผมมักให้ความสนใจงานเขียนเกี่ยวกับสุขภาพโดยแพทย์ที่เป็นทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเป็นพิเศษ เพราะแพทย์เหล่านี้คือ “นักรบ” แห่ง “สงครามสุขภาพ” โดยตรง ประสบการณ์โดยตรงในการรักษาคนป่วย และต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ ของแพทย์เหล่านี้ จึงเป็นบทเรียนอันมีค่า เมื่อถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือสำหรับผู้ที่สนใจปัญหาสุขภาพทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
ที่สำคัญ หากแพทย์ผู้เขียนหนังสือสุขภาพออกมาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจที่เปิดกว้างในการเรียนรู้ โดยไม่ยึดติดกับกรอบความคิด หรือกระบวนทัศน์ในศาสตร์การแพทย์ที่ตัวเองได้รับการฝึกฝนมาด้วยแล้ว แพทย์ผู้นั้นย่อมสามารถแลเห็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนในระบบการศึกษาที่ตัวเองได้รับการฝึกฝนให้เป็นแพทย์มาได้เป็นอย่างดี จึงสามารถนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่เปิดพรมแดนแห่งความรู้ด้านสุขภาพให้แก่มหาชนได้
หนังสือของนายแพทย์เรย์ แสตรนด์ (Ray Strand) เรื่อง “เมื่อคุณหมอไม่รู้เรื่องอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตายอาจกำลังครอบงำคุณ” (“What your doctor doesn’t know about Nutrional Medicine may be killing you”) (สำนักพิมพ์อนิเมทกรุ๊ป, พ.ศ. 2549) คือหนึ่งในหนังสือที่ว่านั้นในความเห็นของผม
นายแพทย์เรย์ จบการศึกษาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด และได้ผ่านการฝึกหลังจบการศึกษาที่โรงพยาบาลเมอร์ซี่ ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาแต่งงานกับภรรยาของเขาที่ชื่อ ลิซ มีลูกกันสามคน มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางด้านตะวันตกของเซาท์ดาโกตา ปัญหามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ ลิซมีปัญหาเรื่องสุขภาพตั้งแต่วัยสาว เธอมักมีอาการอิดโรย อ่อนเพลียผิดปกติ มีอาการเจ็บป่วยตามร่างกาย ภูมิแพ้ ไซนัสกำเริบ และติดเชื้อในปอด ทั้งๆ ที่เขาผู้เป็นสามีของเธอเป็นหมอ แต่ก็ไม่ช่วยให้สุขภาพของเธอดีขึ้นแม้แต่น้อย
แพทย์ประจำตัวของลิซ วินิจฉัยว่า เธอเป็น “โรคเนื้อเยื่อแข็ง” หรือ Fibromyalgia อันเป็นโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อซึ่งเกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจหรือ Psychosomatic Phematism กล่าวคือเป็นโรคที่แพทย์เชื่อว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยแทบทั้งสิ้น โรคเนื้อเยื่อแข็งนี้ ไม่มีวิธีการรักษา สิ่งที่เขาทำเพื่อบรรเทาอาการของลิซ ได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือการให้ยาสารพัดชนิดเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น สภาพร่างกายของเธอกลับค่อยๆ ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ลิซจะหันมาออกกำลังกาย โดยหวังว่าจะฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายได้ ปรากฏว่า ลิซกลับประสบภาวะการติดเชื้อ และต้องกินยาปฏิชีวนะมากกว่าที่เคยกินเสียอีก
เขาผู้เป็นทั้งสามีและหมอถึงกับยกธงขาวแล้ว ในตอนนั้นเองที่ลิซได้ฟังจากเพื่อนบ้านคนหนึ่งของเธอที่สามีของหล่อนเคยป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ และมีอาการเหนื่อยล้าเช่นกัน แต่กลับมีอาการดีขึ้นหลังจากได้ลองรับประทาน อาหารเสริม เข้าไป เมื่อลิซมาปรึกษาเขาว่า เธอควรจะลองทาน วิตามินเสริม ดีมั้ย เขาจึงตอบไปว่า เธอจะลองทำวิธีไหนก็ได้ที่เธอต้องการ เพราะขนาดเขาที่เป็นหมอยังช่วยทำให้เธอดีขึ้นมาไม่ได้เลย...ขณะนั้นเป็นช่วงกลางปี ค.ศ. 1995
แต่ลึกๆ แล้ว นายแพทย์เรย์ก็เหมือนนายแพทย์คนอื่นทั่วๆ ไปที่มีทัศนคติในเชิงลบต่อพวกวิตามินเสริม หรือพูดตรงๆ ก็คือ ในตอนนั้น นายแพทย์เรย์ ไม่ได้มีความรู้เรื่องของโภชนาการ หรืออาหารเสริมเลยแม้แต่น้อย เพราะในตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนทางการแพทย์ เขาไม่เคยได้รับคำแนะนำที่สำคัญใดๆ ในเรื่องนี้จากโรงเรียนทางการแพทย์เลย
ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีแพทย์ในสหรัฐอเมริกาแค่ 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ได้รับการอบรมทางด้านโภชนาการ เนื่องจากวิชานี้เปิดเป็นวิชาเลือกเสรีซึ่งมีน้อยคนนักที่จะลงเรียน ขณะที่การศึกษาเพื่อเป็นแพทย์แบบกระแสหลักโดยส่วนใหญ่ จะเน้นหนักทางด้านการรักษาโรค โดยเน้นเรื่องยา เหตุผล และเวลาของการใช้ยาเป็นหลักเท่านั้น
แต่ในขณะนั้น นายแพทย์เรย์ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ต่อหน้าภรรยาของเขาที่กำลังป่วยหนัก เขาจึงเป็นแค่สามีที่ต้องดูแลภรรยาที่กำลังตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ โดยที่ความรู้ทางการแพทย์ของเขาในตอนนั้นไม่อาจทำอะไรได้เลย เขาจึงพูดกับลิซว่า “ลองกินวิตามินดูเถอะ ไม่มีอะไรต้องเสียมากไปกว่านี้แล้ว”
ลิซกินวิตามินเสริมที่เป็น วิตามินประเภทต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จำพวกวิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันร่างกายให้พ้นจากอันตรายของผลกระทบจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับเขา เพราะลิซรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้นแค่สามวันเท่านั้น หลายวันต่อมา ลิซมีแรงขึ้นมากและสามารถทำกิจกรรมที่เธอชอบจนอยู่ดึกได้มากขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เธอมีอาการเหนื่อยล้าอย่างแสนสาหัสจนต้องเข้านอนไม่เกินสองทุ่มของทุกวัน
สามสัปดาห์หลังการกินวิตามินเสริม ลิซรู้สึกดีขึ้นมาก จนสามารถหยุดกินยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาโรคปอดอักเสบได้ สามเดือนผ่านไป พัฒนาการทางสุขภาพของลิซดีขึ้นตามลำดับ ลิซมีความแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก เธอกลับมามีพลังชีวิตที่คึกคักเข้มแข็ง และไม่ประสบกับภาวะภูมิแพ้อีกเลย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” นายแพทย์เรย์ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนพูดอะไรไม่ออก ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยตนเอง เขาคงไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาดว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ “วิตามินแปลกๆ” พวกนั้น จะสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายของภรรยาเขาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาและหมอผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ อีกหลายคน กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ ไม่เพียงแต่ลิซจะหายจากอาการปอดอักเสบเท่านั้น แม้แต่อาการโรคเนื้อเยื่อแข็งของลิซก็ดีขึ้นมากตามไปด้วย ทั้งๆ ที่วงการแพทย์กระแสหลักเชื่อกันว่า โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้
ก่อนหน้านี้ ในฐานะที่เขาเป็นหมอ เขาเคยมีความเชื่อว่าการดูแลรักษาตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ มาบัดนี้ แม้แต่ความเชื่อในเรื่องนี้ของเขาก็เริ่มสั่นคลอนแล้ว รวมทั้งความเชื่อที่ตัวเขาเคยได้รับการสั่งสอนมาจากโรงเรียนทางการแพทย์ของเขาว่า วิตามินเสริมไม่สามารถช่วยอะไรกับร่างกายได้มากเท่าไรด้วย อย่างไรก็ดี ความที่นายแพทย์เรย์เป็นบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนมาจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ เขาจึงเริ่มต้นทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อค้นหาคำตอบในสิ่งที่เขาเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้
ก่อนอื่น นายแพทย์เรย์ได้ตัดสินใจลองเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง เขาคัดเลือกจากประวัติของผู้ป่วยที่เป็นโรคเนื้อเยื่อแข็งห้าคนที่มีอาการรุนแรงที่สุดมาที่ออฟฟิศ เมื่อคนไข้อยู่พร้อมหน้า เขาจึงแบ่งปันประสบการณ์ของลิซให้พวกเขาฟัง และแนะนำให้พวกเขาได้ลองกินอาหารเสริมหรือวิตามินเสริม เขายังเสริมไปด้วยว่า ผมไม่แน่ใจว่าวิธีการรักษาทางเลือกนี้จะสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่คงคุ้มค่าที่จะลองแน่นอนว่า คนไข้เหล่านี้ทนทุกข์ทรมานกับโรคเนื้อเยื่อแข็งจนหมดหวัง ท้อแท้ใจอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาจึงอยากที่จะลองดู
ในช่วงเวลาสามถึงหกเดือน ผู้ป่วยทั้งห้ามีอาการที่ดีขึ้นหลังจากการรับประทานวิตามินเสริม แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการดีขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างเช่นในกรณีของลิซภรรยาของเขา แต่พวกเขาก็มีกำลังใจและมีความหวังมากขึ้น หนึ่งในคนไข้เคยมีอาการที่รุนแรงมาก หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ความเจ็บปวดรุมเร้าร่างกายเธอจนถึงขั้นขนาดที่ทำให้เธอคิดฆ่าตัวตาย แต่หลังจากที่รับประทานวิตามินเสริม เธอกลับมีอาการที่ดีขึ้นมากราวกับเธอได้ชีวิตของเธอกลับคืนมาแล้ว
อย่างไรก็ดี นายแพทย์เรย์ตระหนักดีว่า การศึกษาของเขาในขั้นต้นที่ทดลองกับคนไข้เพียงห้าคน ยังไม่เพียงพอต่อความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ เขาต้องขุดให้ลึกกว่านี้ ก่อนอื่น เขาเริ่มทบทวนจุดอ่อนของตัวเขา และน่าจะเป็นจุดอ่อนของแพทย์ส่วนใหญ่ด้วยว่า น่าจะไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสาเหตุของโรคที่ก่อให้เกิดความเสื่อม
แพทย์ส่วนใหญ่มักคิดว่าความรู้ทางด้านนี้เป็นวิชาที่มีความเหมาะสมกับนักชีวเคมี และนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จึงมีแพทย์น้อยคนนักที่จะเลือกใช้ความรู้ทางด้านนี้มาใช้ให้เป็นการรักษาในคลินิก หรือนำศาสตร์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับคนไข้ของตน ในขณะนั้น (ค.ศ. 1995) นายแพทย์เรย์ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า นั่นเป็นแค่ ก้าวแรกๆ ของวิถีการแพทย์เชิงโภชนาการของตัวเขาหลังจากนั้น เท่านั้นเอง
www.suvinai-dragon.com
บนเส้นทางของการศึกษาและปฏิบัติ วิถีแห่งสุขภาพเชิงบูรณาการ ของผมนั้น ตัวผมมักให้ความสนใจงานเขียนเกี่ยวกับสุขภาพโดยแพทย์ที่เป็นทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเป็นพิเศษ เพราะแพทย์เหล่านี้คือ “นักรบ” แห่ง “สงครามสุขภาพ” โดยตรง ประสบการณ์โดยตรงในการรักษาคนป่วย และต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆ ของแพทย์เหล่านี้ จึงเป็นบทเรียนอันมีค่า เมื่อถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือสำหรับผู้ที่สนใจปัญหาสุขภาพทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น
ที่สำคัญ หากแพทย์ผู้เขียนหนังสือสุขภาพออกมาผู้นั้นเป็นผู้ที่มีจิตใจที่เปิดกว้างในการเรียนรู้ โดยไม่ยึดติดกับกรอบความคิด หรือกระบวนทัศน์ในศาสตร์การแพทย์ที่ตัวเองได้รับการฝึกฝนมาด้วยแล้ว แพทย์ผู้นั้นย่อมสามารถแลเห็นทั้งจุดแข็ง และจุดอ่อนในระบบการศึกษาที่ตัวเองได้รับการฝึกฝนให้เป็นแพทย์มาได้เป็นอย่างดี จึงสามารถนำเสนอมุมมองใหม่ๆ ที่เปิดพรมแดนแห่งความรู้ด้านสุขภาพให้แก่มหาชนได้
หนังสือของนายแพทย์เรย์ แสตรนด์ (Ray Strand) เรื่อง “เมื่อคุณหมอไม่รู้เรื่องอาหารเสริมบำบัดโรค...ความตายอาจกำลังครอบงำคุณ” (“What your doctor doesn’t know about Nutrional Medicine may be killing you”) (สำนักพิมพ์อนิเมทกรุ๊ป, พ.ศ. 2549) คือหนึ่งในหนังสือที่ว่านั้นในความเห็นของผม
นายแพทย์เรย์ จบการศึกษาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยโคโลราโด และได้ผ่านการฝึกหลังจบการศึกษาที่โรงพยาบาลเมอร์ซี่ ในเมืองซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย เขาแต่งงานกับภรรยาของเขาที่ชื่อ ลิซ มีลูกกันสามคน มีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่นในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง ทางด้านตะวันตกของเซาท์ดาโกตา ปัญหามีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นคือ ลิซมีปัญหาเรื่องสุขภาพตั้งแต่วัยสาว เธอมักมีอาการอิดโรย อ่อนเพลียผิดปกติ มีอาการเจ็บป่วยตามร่างกาย ภูมิแพ้ ไซนัสกำเริบ และติดเชื้อในปอด ทั้งๆ ที่เขาผู้เป็นสามีของเธอเป็นหมอ แต่ก็ไม่ช่วยให้สุขภาพของเธอดีขึ้นแม้แต่น้อย
แพทย์ประจำตัวของลิซ วินิจฉัยว่า เธอเป็น “โรคเนื้อเยื่อแข็ง” หรือ Fibromyalgia อันเป็นโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อซึ่งเกี่ยวโยงกับสภาพจิตใจหรือ Psychosomatic Phematism กล่าวคือเป็นโรคที่แพทย์เชื่อว่าเป็นเรื่องของความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วยแทบทั้งสิ้น โรคเนื้อเยื่อแข็งนี้ ไม่มีวิธีการรักษา สิ่งที่เขาทำเพื่อบรรเทาอาการของลิซ ได้ดีที่สุดในตอนนั้นคือการให้ยาสารพัดชนิดเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น สภาพร่างกายของเธอกลับค่อยๆ ทรุดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้ลิซจะหันมาออกกำลังกาย โดยหวังว่าจะฟื้นฟูสุขภาพให้กลับมาแข็งแรงด้วยการออกกำลังกายได้ ปรากฏว่า ลิซกลับประสบภาวะการติดเชื้อ และต้องกินยาปฏิชีวนะมากกว่าที่เคยกินเสียอีก
เขาผู้เป็นทั้งสามีและหมอถึงกับยกธงขาวแล้ว ในตอนนั้นเองที่ลิซได้ฟังจากเพื่อนบ้านคนหนึ่งของเธอที่สามีของหล่อนเคยป่วยเป็นโรคปอดอักเสบ และมีอาการเหนื่อยล้าเช่นกัน แต่กลับมีอาการดีขึ้นหลังจากได้ลองรับประทาน อาหารเสริม เข้าไป เมื่อลิซมาปรึกษาเขาว่า เธอควรจะลองทาน วิตามินเสริม ดีมั้ย เขาจึงตอบไปว่า เธอจะลองทำวิธีไหนก็ได้ที่เธอต้องการ เพราะขนาดเขาที่เป็นหมอยังช่วยทำให้เธอดีขึ้นมาไม่ได้เลย...ขณะนั้นเป็นช่วงกลางปี ค.ศ. 1995
แต่ลึกๆ แล้ว นายแพทย์เรย์ก็เหมือนนายแพทย์คนอื่นทั่วๆ ไปที่มีทัศนคติในเชิงลบต่อพวกวิตามินเสริม หรือพูดตรงๆ ก็คือ ในตอนนั้น นายแพทย์เรย์ ไม่ได้มีความรู้เรื่องของโภชนาการ หรืออาหารเสริมเลยแม้แต่น้อย เพราะในตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียนทางการแพทย์ เขาไม่เคยได้รับคำแนะนำที่สำคัญใดๆ ในเรื่องนี้จากโรงเรียนทางการแพทย์เลย
ทั้งนี้ก็เพราะว่า มีแพทย์ในสหรัฐอเมริกาแค่ 6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่ได้รับการอบรมทางด้านโภชนาการ เนื่องจากวิชานี้เปิดเป็นวิชาเลือกเสรีซึ่งมีน้อยคนนักที่จะลงเรียน ขณะที่การศึกษาเพื่อเป็นแพทย์แบบกระแสหลักโดยส่วนใหญ่ จะเน้นหนักทางด้านการรักษาโรค โดยเน้นเรื่องยา เหตุผล และเวลาของการใช้ยาเป็นหลักเท่านั้น
แต่ในขณะนั้น นายแพทย์เรย์ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว ต่อหน้าภรรยาของเขาที่กำลังป่วยหนัก เขาจึงเป็นแค่สามีที่ต้องดูแลภรรยาที่กำลังตกอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้ โดยที่ความรู้ทางการแพทย์ของเขาในตอนนั้นไม่อาจทำอะไรได้เลย เขาจึงพูดกับลิซว่า “ลองกินวิตามินดูเถอะ ไม่มีอะไรต้องเสียมากไปกว่านี้แล้ว”
ลิซกินวิตามินเสริมที่เป็น วิตามินประเภทต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) จำพวกวิตามินอี วิตามินซี และเบต้าแคโรทีน ซึ่งช่วยป้องกันร่างกายให้พ้นจากอันตรายของผลกระทบจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับเขา เพราะลิซรู้สึกดีขึ้นหลังจากนั้นแค่สามวันเท่านั้น หลายวันต่อมา ลิซมีแรงขึ้นมากและสามารถทำกิจกรรมที่เธอชอบจนอยู่ดึกได้มากขึ้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เธอมีอาการเหนื่อยล้าอย่างแสนสาหัสจนต้องเข้านอนไม่เกินสองทุ่มของทุกวัน
สามสัปดาห์หลังการกินวิตามินเสริม ลิซรู้สึกดีขึ้นมาก จนสามารถหยุดกินยาสเตียรอยด์เพื่อรักษาโรคปอดอักเสบได้ สามเดือนผ่านไป พัฒนาการทางสุขภาพของลิซดีขึ้นตามลำดับ ลิซมีความแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก เธอกลับมามีพลังชีวิตที่คึกคักเข้มแข็ง และไม่ประสบกับภาวะภูมิแพ้อีกเลย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?” นายแพทย์เรย์ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนพูดอะไรไม่ออก ถ้าเขาไม่ได้เป็นคนสังเกตการณ์ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ด้วยตนเอง เขาคงไม่ยอมเชื่อเป็นอันขาดว่า เป็นไปได้อย่างไรที่ “วิตามินแปลกๆ” พวกนั้น จะสามารถฟื้นฟูสภาพร่างกายของภรรยาเขาได้ราวกับปาฏิหาริย์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาและหมอผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ อีกหลายคน กลับไม่สามารถช่วยอะไรได้ ไม่เพียงแต่ลิซจะหายจากอาการปอดอักเสบเท่านั้น แม้แต่อาการโรคเนื้อเยื่อแข็งของลิซก็ดีขึ้นมากตามไปด้วย ทั้งๆ ที่วงการแพทย์กระแสหลักเชื่อกันว่า โรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายได้
ก่อนหน้านี้ ในฐานะที่เขาเป็นหมอ เขาเคยมีความเชื่อว่าการดูแลรักษาตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ เป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการฟื้นฟูร่างกายที่เจ็บป่วยให้กลับมาอยู่ในสภาวะปกติ มาบัดนี้ แม้แต่ความเชื่อในเรื่องนี้ของเขาก็เริ่มสั่นคลอนแล้ว รวมทั้งความเชื่อที่ตัวเขาเคยได้รับการสั่งสอนมาจากโรงเรียนทางการแพทย์ของเขาว่า วิตามินเสริมไม่สามารถช่วยอะไรกับร่างกายได้มากเท่าไรด้วย อย่างไรก็ดี ความที่นายแพทย์เรย์เป็นบุคคลที่ได้รับการฝึกฝนมาจากวิทยาศาสตร์การแพทย์ เขาจึงเริ่มต้นทำทุกอย่างอย่างเป็นธรรมชาติ เพื่อค้นหาคำตอบในสิ่งที่เขาเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้
ก่อนอื่น นายแพทย์เรย์ได้ตัดสินใจลองเปิดคลินิกเป็นของตัวเอง เขาคัดเลือกจากประวัติของผู้ป่วยที่เป็นโรคเนื้อเยื่อแข็งห้าคนที่มีอาการรุนแรงที่สุดมาที่ออฟฟิศ เมื่อคนไข้อยู่พร้อมหน้า เขาจึงแบ่งปันประสบการณ์ของลิซให้พวกเขาฟัง และแนะนำให้พวกเขาได้ลองกินอาหารเสริมหรือวิตามินเสริม เขายังเสริมไปด้วยว่า ผมไม่แน่ใจว่าวิธีการรักษาทางเลือกนี้จะสามารถช่วยพวกเขาได้ แต่คงคุ้มค่าที่จะลองแน่นอนว่า คนไข้เหล่านี้ทนทุกข์ทรมานกับโรคเนื้อเยื่อแข็งจนหมดหวัง ท้อแท้ใจอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาจึงอยากที่จะลองดู
ในช่วงเวลาสามถึงหกเดือน ผู้ป่วยทั้งห้ามีอาการที่ดีขึ้นหลังจากการรับประทานวิตามินเสริม แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการดีขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างเช่นในกรณีของลิซภรรยาของเขา แต่พวกเขาก็มีกำลังใจและมีความหวังมากขึ้น หนึ่งในคนไข้เคยมีอาการที่รุนแรงมาก หนึ่งปีก่อนหน้านี้ ความเจ็บปวดรุมเร้าร่างกายเธอจนถึงขั้นขนาดที่ทำให้เธอคิดฆ่าตัวตาย แต่หลังจากที่รับประทานวิตามินเสริม เธอกลับมีอาการที่ดีขึ้นมากราวกับเธอได้ชีวิตของเธอกลับคืนมาแล้ว
อย่างไรก็ดี นายแพทย์เรย์ตระหนักดีว่า การศึกษาของเขาในขั้นต้นที่ทดลองกับคนไข้เพียงห้าคน ยังไม่เพียงพอต่อความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ เขาต้องขุดให้ลึกกว่านี้ ก่อนอื่น เขาเริ่มทบทวนจุดอ่อนของตัวเขา และน่าจะเป็นจุดอ่อนของแพทย์ส่วนใหญ่ด้วยว่า น่าจะไม่มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสาเหตุของโรคที่ก่อให้เกิดความเสื่อม
แพทย์ส่วนใหญ่มักคิดว่าความรู้ทางด้านนี้เป็นวิชาที่มีความเหมาะสมกับนักชีวเคมี และนักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ จึงมีแพทย์น้อยคนนักที่จะเลือกใช้ความรู้ทางด้านนี้มาใช้ให้เป็นการรักษาในคลินิก หรือนำศาสตร์เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้กับคนไข้ของตน ในขณะนั้น (ค.ศ. 1995) นายแพทย์เรย์ก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า นั่นเป็นแค่ ก้าวแรกๆ ของวิถีการแพทย์เชิงโภชนาการของตัวเขาหลังจากนั้น เท่านั้นเอง
www.suvinai-dragon.com