รายงาน
กลับมาเป็นข่าวฮือฮาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดนแม่น้ำโขง(นรข.)นครพนมสกัดจับเรือบรรทุกสุนัขร่วม 300 ตัว ขณะลำเลียงลงเรือบริเวณฝั่งแม่น้ำโขงบ้านท่าลาด ต.บ้านแพงเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 25 ธ.ค.54 มุ่งสู่ปลายทางชายแดนเวียดนามเช่นเดิม ภาพที่เห็นสุนัขต่างแออัดยัดเยียดในกรงขนาดไม่ใหญ่นักประมาณ 30 กรง พร้อมกับจับกุมผู้ต้องหาได้ 1 ราย สารภาพว่าเป็นแค่คนรับจ้างขับเรือขนสุนัขไปส่งฝั่งลาวเท่านั้น
การตรวจยึดสุนัขครั้งนี้ถือเป็นการกระทำความผิดที่เย้ยกฎหมาย เพราะตลอดในห้วงหลายเดือนที่ผ่านมา จังหวัดนครพนมได้กวดขันปราบปรามขบวนการค้าสุนัขข้ามชาติอย่างเข้มงวดต่อเนื่อง ตามนโยบายของอดีตผู้ว่าฯนายเริงศักดิ์ มหาวินิจฉัยมนตรี ซึ่งเพิ่งถูกย้ายไปเป็นพ่อเมือง จ.ฉะเชิงเทรา และ ณ จุดที่ตรวจยึดได้ก็ห่างจากจุดที่มีการจับกุมครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพ.ย.ที่ผ่านมาหมาดๆแค่ 100 เมตร
การตรวจยึดสุนัขครั้งล่าสุดดังกล่าว ไม่ใช่ครั้งแรกที่สกัดจับและยึดของกลางได้หลังจากมีการตรวจยึดได้ครั้งใหญ่กว่า 1,000 ตัวเมื่อวันที่ 13 ส.ค.54 เพราะในเดือนต่อๆมาก็มีข่าวตรวจจับเครือข่ายค้าสุนัขข้ามชาติได้อีกหลายครั้ง เฉลี่ยตรวจจับได้เดือนละ ครั้ง ไม่เป็นข่าวใหญ่นักเพราะยึดของกลางสุนัขได้ไม่มาก
กลุ่มคนรักสุนัขไม่น้อยที่ทราบข่าวอาจกังขาว่าเหตุใดเมื่อทางจังหวัดนครพนมเข้มงวดการตรวจจับการลอบค้าสัตว์สี่ขานี้แล้ว เครือข่ายผู้ค้าเหล่านี้ถึงไม่เกรงกลัวยังพยายามทุกรูปแบบเพื่อลอบส่งออกสุนัขให้ได้
นายยงยุทธ นุกิจรังสรรค์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้ออกมายอมรับว่า จากการตรวจสอบข้อมูลยังพบในพื้นที่หลายจังหวัดภาคอีสาน ยังมีการค้าสุนัขกันอยู่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว จะมีออเดอร์จากเวียดนามสั่งเข้ามาจำนวนมาก บวกกับในห้วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่กวดขันอย่างหนัก สุนัขส่งออกไม่ได้ ทำให้ราคาปรับเพิ่มขึ้นหลายเท่า จากตัวละประมาณ 800 บาท เพิ่มเป็นเกือบ 2,000 บาท เพราะเป็นเมนูเด็ดช่วงอากาศหนาว ดังนั้น ต้องมีการคุมเข้มสกัดเส้นทางอย่างเข้มงวดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้จังหวัดนครพนมจะประกาศมาตรการเข้มสกัดเส้นทางการส่งออกสุนัข กลุ่มผู้ค้าก็พยายามกดดันให้ทางราชการเปิดเส้นทางการค้าดังเดิม โดยเมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา นายสวง เดชาเลิศ อายุ 58 ปี ตัวแทนกลุ่มผู้ค้าสุนัขจาก ต.ท่าแร่ อ.เมือง จ.สกลนครได้นำชาวบ้านที่ยึดอาชีพค้าสุนัขทั้งจากสกลนคร นครพนม ศรีสะเกษร่วม 100 คนชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดนครพนม เรียกร้องจังหวัดนครพนมเปิดเส้นทางขนส่งสุนัขออกไปขายยังประเทศเวียดนามให้
ทั้งนี้ อ้างว่าหลังจากอดีตผู้ว่าฯ เริงศักดิ์ มีนโยบายปราบปรามจับกุมการค้าสุนัขอย่างเข้มข้น ทำให้ชาวบ้านที่ประกอบอาชีพค้าสุนัขมานานกว่า 30 ปี ขาดรายได้ และได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก เพราะชาวบ้านไม่ได้ทำอาชีพอื่น จึงต้องรับภาระหนี้สิน ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมทั้งค่าเล่าเรียนบุตรหลาน ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดนี้ล้วนได้มาจากการค้าสุนัขทั้งสิ้น
แต่จังหวัดนครพนมยืนยันคงมาตรการเดิม เพราะการปราบปรามจับกุมนั้นเป็นไปตามข้อกฎหมาย ซึ่งหากจะมีการอนุญาตใด ๆต้องนำเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายระดับประเทศเท่านั้น
เส้นทางสุนัขสู่เหลาชั้นเลิศในต่างแดน
สำหรับการขนส่งสุนัขไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อนำมาปรุงเป็นอาหารอันเลิศรสของผู้นิยมบริโภค พบว่า จุดเริ่มต้น คือ บริเวณ เชิงตลิ่งแม่น้ำโขง บ้านท่าลาด ต.บ้านแพง อ.บ้านแพง ที่ถือเป็นจุดขนส่งสุนัขเพียงแห่งเดียวที่เหล่าบรรดาพ่อค้าสุนัขต้องมาเริ่มต้นส่งออกจากฝั่งไทย
ส่วนต้นทางแหล่งรับซื้อหลักๆในภาคอีสานมีอยู่สองแห่ง คือ ที่ ต.ท่าแร่ จ.สกลนคร และที่บ้านหนองปลาดุก รอยต่อระหว่าง อ.กันทรวิชัย กับอ.โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ที่เหลืออาจมาจาก จ.ศรีสะเกษ หรือสุรินทร์ บ้างประปราย แต่จุดพักสุนัขใหญ่สุดคือ ต.ท่าแร่
รถบรรทุกสุนัขหลังจากออกจากท่าแร่แล้วจะใช้เส้นทางย่อยมุ่งสู่ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม หรือหากมีด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ ก็จะใช้เส้นทางแยกที่บ้านดอนเชียงบานมุ่งหน้าสู่ อ.นาหว้า จ.นครพนม แล้วค่อยลัดเลาะเข้าอ.ศรีสงครามอีกทีหนึ่ง จากอ.ศรีสงครามจะใช้เส้นทางบ้านปฏิรูป ไปบ้านนาพระชัยเพื่อเข้าเขต อ.บ้านแพงของจังหวัดนครพนม แล้วลำเลียงลงเรือข้ามลำน้ำโขงที่บ้านท่าลาด ต.บ้านแพง
เส้นทางนี้ถือว่าใกล้สุดสำหรับการขนส่งสุนัขไปยังชายแดนเวียดนาม สินค้ามีชีวิตต้องขนส่งให้ถึงแหล่งรับซื้อใหญ่ในเขตชายแดนเวียดนามที่เมืองฮาห์ติงห์และเงห์อานให้เร็วที่สุด หลังจากขึ้นฝั่งลาวตรงข้ามต.บ้านแพง แล้วจะบรรทุกไปตามเส้นทางหลวงหมายเลข 8( No.8) ของลาววิ่งตรงถึงชายแดนที่ ด่านกาวแจว (CAU TREO) ระยะทางประมาณ 200 กม.เท่านั้น เมื่อถึงด่านกาวแจวแล้วถือว่าการส่งออกสุนัขสำเร็จ
เมื่อส่งสุนัขถึงมือพ่อค้าคนกลางฝั่งเวียดนามแล้ว ผลกำไรจากการค้าถือว่าคุ้มต่อการเสี่ยงมาก แต่หากไม่สำเร็จถูกจับกุมเสียก่อนก็แค่โชคร้าย เพราะโทษทัณฑ์ค่อนข้างเบา อย่างกรณีวันที่ 26 ก.ย. ที่ผ่านมา ศาลนครพนมพิพากษาตัดสินผู้ต้องหา 2 คนคดีค้าสุนัขที่จับได้ล็อตใหญ่กว่าพันตัวนั้น ศาลสั่งจำคุก 1 ปี 10 เดือน โดยไม่รอลงอาญา แต่จำเลยให้การสารภาพจึงลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 6 เดือน 5 วัน พร้อมปรับเป็นเงิน จำนวน 1,200 บาท
ปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวชาวท้องถิ่นนครพนมที่ติดตามความเคลี่อนไหวขบวนการค้าสุนัขข้ามชาติเล่าว่า เป็นไปได้ยากที่จะปราบปรามห้ามไม่ให้มีการค้าเกิดขึ้น เพราะปัจจุบันชาวเวียดนามถือเป็นตลาดใหญ่ที่นิยมบริโภคเนื้อสัตว์สี่ขาพันธุ์นี้ และชาวเวียดนามกลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มกำลังซื้อสูง ฐานะไม่ดีมากพอไม่มีสิทธิเปิบเนื้อสุนัข ผลกำไรจากการส่งออกเป็นสิ่งล่อให้มีผู้ค้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากจะมีการเร่หาซื้อสุนัขจากชาวบ้านในราคาที่สูงตัวละไม่ต่ำกว่า 300-400 บาท/ตัวแล้ว ยังมีกรณีลักขโมยกันในยามค่ำคืนหรือเจ้าของบ้านเผลอออกบ่อยๆ สำหรับชาวอีสานโดยเฉพาะแถบสกลนคร นครพนมแล้วสุนัขถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีมูลค่ามากกว่าสัตว์เลี้ยงประเภทอื่นๆหลายชนิด
แหล่งข่าวรายเดิมเล่าต่อทิ้งท้ายอีกว่า ก่อนที่ตลาดเวียดนามจะบูม ไม่ถึง 10ปีย้อนหลัง นอกจากหลายจังหวัดในภาคอีสาน โดยเฉพาะสกลนครจะเป็นแหล่งค้าและแหล่งบริโภคเนื้อสุนัขแหล่งใหญ่แล้ว ร้านอาหารจำนวนไม่น้อยในกรุงเทพฯและแถบจังหวัดภาคกลาง ถือเป็นตลาดใหญ่ที่รับเนื้อสุนัขแดดเดียวจากพ่อค้าในต.ท่าแร่ไปขายให้ลูกค้าทั่วๆไป โดยลูกค้าจะเข้าใจว่าเป็นเนื้อแดดเดียวที่ทำจากเนื้อวัว สาเหตุที่ร้านค้าเหล่านั้นรับไปขายเพราะต้นทุนถูกกว่าเนื้อวัวแท้ ขณะที่รสชาติไม่ต่างกัน อาจจะอร่อยมากกว่าด้วยซ้ำ
ปัจจุบันเมนูเนื้อแดดเดียวนี้อาจจะมีขายไม่มาก เพราะสุนัขหายากและมีราคาแพงมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่าตัว !