เอเจนซีส์ – โลกจับตาพิธิศพ “คิม จองอิล” ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ด้วยความกังวลและพยายามค้นหาเบาะแสว่า จะสามารถคาดหวังสิ่งใดจากประเทศที่โดดเดี่ยวและใกล้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์แห่งนี้ได้บ้าง ขณะเดียวกัน พิธีศพครั้งนี้ยังเปิดเผยให้เห็นโฉมหน้าคณะบุคคลที่จะทำหน้าที่พี่เลี้ยงคอยชี้นำและปกป้องผู้นำคนใหม่ “คิม จองอึน”
ภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือวานนี้ (28) เผยให้เห็นขบวนศพที่นำโดยรถลิมูซีนที่ติดตั้งภาพขนาดใหญ่ของ จองอิล ติดตามด้วยยานพาหนะคันอื่นๆ โดยคันที่สำคัญที่สุดคือรถลีมูซีนที่ตั้งโลงบรรจุศพของอดีตผู้นำผู้ล่วงลับเอาไว้บนหลังคา ตัวโลงศพคลุมด้วยธงพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีสีแดง และประดับประดารายรอบด้วยดอกไม้สีขาว
ขบวนศพเคลื่อนผ่านทหารนับหมื่นที่โค้งคำนับอยู่บริเวณจัตุรัสหลักนอกวังอนุสรณ์สถานคึมซูซาน ท่ามกลางหิมะที่แผ่ปกคลุมทั่วเมืองหลวง และความโศกเศร้าของชาวโสมแดง
คิม จองอึน บุตรชายคนสุดท้องและทายาทสืบทอดอำนาจของ จองอิล เดินเคียงข้างไปกับรถลิมูซีนบรรทุกศพ โดยมีขบวนผู้สมทบประกอบด้วยจาง ซองเต็ก อาเขยของเขา, คิม คีนัมและโช แตบ็อก เจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรค, รี ยังโฮ ผู้บัญชาการทหาร, คิม ยังชุน รัฐมนตรีกลาโหม และคิม จองกั๊ก ผู้รับผิดชอบการบริหารงานทหาร
นักวิเคราะห์มองว่า การจัดแถวของบุคคลกลุ่มนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้สัญญาณว่า ใครจะมีอิทธิพลต่อผู้นำใหม่หนุ่มแน่นที่ยังไม่ผ่านการทดสอบผู้นี้ในช่วงเวลาแห่งการผ่องถ่ายอำนาจ
คิม ยองฮุน จากมหาวิทยาลัยดองกุ๊ก ในโซล ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพิธีศพบ่งชี้ว่า ใครจะอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องจองอึน และว่าคิม คีนัม กับโช แตบ็อกเป็นตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์โสมแดงซึ่งใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี ขณะที่อีก 4 คน ซึ่งรวมถึงจาง คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในคณะรัฐบาล และทำหน้าที่ผู้ปกป้องและผู้สนับสนุนจองอึน
คิม จองอึนกำลังจะกลายเป็นสมาชิกคนที่ 3 ของครอบครัวซึ่งปกครองประเทศที่โดดเดี่ยวจากโลกภายนอกและยากแก่การคาดเดาแห่งนี้ ในขณะที่ปี 2012 กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเป็นปีที่เกาหลีเหนือเคยประกาศไว้ว่า จะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง
ลาร์รี นิกช์ ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือเพื่อจัดทำรายงานให้แก่หน่วยงานวิจัยรัฐสภาสหรัฐฯ มาถึง 43 ปี เชื่อว่า หากผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงสำหรับทำหัวรบได้มากพอ เปียงยางจะต้องการเวลาอีกเพียง 1-2 ปีเท่านั้นในการพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์
แนวโน้มที่ผู้นำผู้ไม่เคยผ่านการทดสอบและเชื่อกันว่าอายุไม่ถึง 30 ปีผู้นี้ จะกลายเป็นผู้ควบคุมศักยภาพนิวเคลียร์ระดับนี้ เป็นเรื่องที่หลายคนกังวล
เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้คนหนึ่งที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่ากำลังจับตาและจะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เกาหลีเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ทดลองอาวุธนิวเคลียร์มาแล้ว 2 ครั้ง ขณะที่กองทัพก็มีกำลังพล 1.2 ล้านคน ทว่า ฐานะทางเศรษฐกิจยังห่างไกลจากความมั่งคั่งนักหนา
จากข้อมูลของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชาวเกาหลีเหนือ 25 ล้านคนมีอายุขัยเฉลี่ยน้อยลง 3 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่คิม อิลซุง “ประธานาธิบดีชั่วนิรันดร์” อสัญกรรมในปี 1994
ยูเอ็นระบุว่า ความท้าทายหลักของเปียงยางคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่ระดับก่อนปี 1990 และแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารสำหรับประชากร 1 ใน 3 ของประเทศ
ทว่า ปัจจัยบ่งชี้จากช่วงผ่องถ่ายอำนาจนับจากคิม จองอิล เสียชีวิตแสดงให้เห็นเป็นนัยว่า นโยบาย “ทหารมาก่อน” จะยังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับภาวะอดอยากยากแค้นรุนแรงที่เริ่มต้นขึ้นในทศวรรษ 1990
สำหรับแรงกดดันจากภายนอกนั้นดูจะมีผลเพียงจำกัด ยกเว้นแต่จะเป็นการกดดันจากจีน ซึ่งโสมแดงต้องคอยพึ่งพาอาศัยอย่างมหาศาล จึงเท่ากับว่าทั้งหมดที่สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น พอจะหวังได้คือ เกาหลีเหนือจะไม่ล่มสลาย รวมทั้งไม่แสดงแสนยานุภาพทางทหารเหมือนที่เคยทำในปี 2010 ด้วยการโจมตีเกาะแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้
ขณะเดียวกัน แม้สื่อของทางการเกาหลีเหนือจะพยายามสร้างความชอบธรรมให้จองอึน อาทิ ด้วยการระบุว่าเป็น “ผู้สืบทอดที่ยิ่งใหญ่” หรือ “ผู้บัญชาการสูงสุด” แต่กลุ่มต่อต้านโสมแดงในเกาหลีใต้ ซึ่งอ้างอิงคำบอกเล่าของผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือและนักธุรกิจที่ทำงานในจีน ระบุว่า จองอึนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามกิจกรรมธุรกิจ และการใช้นโยบายแข็งกร้าวกับผู้ที่พยายามหลบหนีออกจากประเทศ
แม้รายงานเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้ แต่พอจะบ่งชี้ได้ว่า จะมีการกดขี่ต่อไปในเกาหลีเหนือมากกว่าการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจภายใต้ผู้นำใหม่
ภาพข่าวจากสถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือวานนี้ (28) เผยให้เห็นขบวนศพที่นำโดยรถลิมูซีนที่ติดตั้งภาพขนาดใหญ่ของ จองอิล ติดตามด้วยยานพาหนะคันอื่นๆ โดยคันที่สำคัญที่สุดคือรถลีมูซีนที่ตั้งโลงบรรจุศพของอดีตผู้นำผู้ล่วงลับเอาไว้บนหลังคา ตัวโลงศพคลุมด้วยธงพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีสีแดง และประดับประดารายรอบด้วยดอกไม้สีขาว
ขบวนศพเคลื่อนผ่านทหารนับหมื่นที่โค้งคำนับอยู่บริเวณจัตุรัสหลักนอกวังอนุสรณ์สถานคึมซูซาน ท่ามกลางหิมะที่แผ่ปกคลุมทั่วเมืองหลวง และความโศกเศร้าของชาวโสมแดง
คิม จองอึน บุตรชายคนสุดท้องและทายาทสืบทอดอำนาจของ จองอิล เดินเคียงข้างไปกับรถลิมูซีนบรรทุกศพ โดยมีขบวนผู้สมทบประกอบด้วยจาง ซองเต็ก อาเขยของเขา, คิม คีนัมและโช แตบ็อก เจ้าหน้าที่อาวุโสของพรรค, รี ยังโฮ ผู้บัญชาการทหาร, คิม ยังชุน รัฐมนตรีกลาโหม และคิม จองกั๊ก ผู้รับผิดชอบการบริหารงานทหาร
นักวิเคราะห์มองว่า การจัดแถวของบุคคลกลุ่มนี้เป็นสัญญาณบ่งชี้สัญญาณว่า ใครจะมีอิทธิพลต่อผู้นำใหม่หนุ่มแน่นที่ยังไม่ผ่านการทดสอบผู้นี้ในช่วงเวลาแห่งการผ่องถ่ายอำนาจ
คิม ยองฮุน จากมหาวิทยาลัยดองกุ๊ก ในโซล ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพิธีศพบ่งชี้ว่า ใครจะอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องจองอึน และว่าคิม คีนัม กับโช แตบ็อกเป็นตัวแทนของพรรคคอมมิวนิสต์โสมแดงซึ่งใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่าพรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี ขณะที่อีก 4 คน ซึ่งรวมถึงจาง คาดว่าจะมีบทบาทสำคัญในคณะรัฐบาล และทำหน้าที่ผู้ปกป้องและผู้สนับสนุนจองอึน
คิม จองอึนกำลังจะกลายเป็นสมาชิกคนที่ 3 ของครอบครัวซึ่งปกครองประเทศที่โดดเดี่ยวจากโลกภายนอกและยากแก่การคาดเดาแห่งนี้ ในขณะที่ปี 2012 กำลังจะเริ่มต้นขึ้น และเป็นปีที่เกาหลีเหนือเคยประกาศไว้ว่า จะก้าวขึ้นเป็นประเทศที่เข้มแข็งและมั่งคั่ง
ลาร์รี นิกช์ ที่ติดตามความเคลื่อนไหวของเกาหลีเหนือเพื่อจัดทำรายงานให้แก่หน่วยงานวิจัยรัฐสภาสหรัฐฯ มาถึง 43 ปี เชื่อว่า หากผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูงสำหรับทำหัวรบได้มากพอ เปียงยางจะต้องการเวลาอีกเพียง 1-2 ปีเท่านั้นในการพัฒนาขีปนาวุธนิวเคลียร์
แนวโน้มที่ผู้นำผู้ไม่เคยผ่านการทดสอบและเชื่อกันว่าอายุไม่ถึง 30 ปีผู้นี้ จะกลายเป็นผู้ควบคุมศักยภาพนิวเคลียร์ระดับนี้ เป็นเรื่องที่หลายคนกังวล
เจ้าหน้าที่เกาหลีใต้คนหนึ่งที่ไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่ากำลังจับตาและจะวิเคราะห์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด
เกาหลีเหนือที่ได้รับการสนับสนุนจากจีน ทดลองอาวุธนิวเคลียร์มาแล้ว 2 ครั้ง ขณะที่กองทัพก็มีกำลังพล 1.2 ล้านคน ทว่า ฐานะทางเศรษฐกิจยังห่างไกลจากความมั่งคั่งนักหนา
จากข้อมูลของสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ชาวเกาหลีเหนือ 25 ล้านคนมีอายุขัยเฉลี่ยน้อยลง 3 ปีครึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่คิม อิลซุง “ประธานาธิบดีชั่วนิรันดร์” อสัญกรรมในปี 1994
ยูเอ็นระบุว่า ความท้าทายหลักของเปียงยางคือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจสู่ระดับก่อนปี 1990 และแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหารสำหรับประชากร 1 ใน 3 ของประเทศ
ทว่า ปัจจัยบ่งชี้จากช่วงผ่องถ่ายอำนาจนับจากคิม จองอิล เสียชีวิตแสดงให้เห็นเป็นนัยว่า นโยบาย “ทหารมาก่อน” จะยังคงดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับภาวะอดอยากยากแค้นรุนแรงที่เริ่มต้นขึ้นในทศวรรษ 1990
สำหรับแรงกดดันจากภายนอกนั้นดูจะมีผลเพียงจำกัด ยกเว้นแต่จะเป็นการกดดันจากจีน ซึ่งโสมแดงต้องคอยพึ่งพาอาศัยอย่างมหาศาล จึงเท่ากับว่าทั้งหมดที่สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น พอจะหวังได้คือ เกาหลีเหนือจะไม่ล่มสลาย รวมทั้งไม่แสดงแสนยานุภาพทางทหารเหมือนที่เคยทำในปี 2010 ด้วยการโจมตีเกาะแห่งหนึ่งของเกาหลีใต้
ขณะเดียวกัน แม้สื่อของทางการเกาหลีเหนือจะพยายามสร้างความชอบธรรมให้จองอึน อาทิ ด้วยการระบุว่าเป็น “ผู้สืบทอดที่ยิ่งใหญ่” หรือ “ผู้บัญชาการสูงสุด” แต่กลุ่มต่อต้านโสมแดงในเกาหลีใต้ ซึ่งอ้างอิงคำบอกเล่าของผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือและนักธุรกิจที่ทำงานในจีน ระบุว่า จองอึนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปราบปรามกิจกรรมธุรกิจ และการใช้นโยบายแข็งกร้าวกับผู้ที่พยายามหลบหนีออกจากประเทศ
แม้รายงานเหล่านี้ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้ แต่พอจะบ่งชี้ได้ว่า จะมีการกดขี่ต่อไปในเกาหลีเหนือมากกว่าการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจภายใต้ผู้นำใหม่