ASTVผู้จัดการรายวัน - “ซีอีโอ อกริฟู้ด” ปรับหางเสือ ทุ่ม 50 ล้านบาท รุกสร้างแบรนด์สินค้าปั้นชื่อ “T.R.B.O.” บุกตลาดน้ำมันรำข้าวไทยของ พร้อมขยายตลาดใหม่ ลุยเครื่องสำอาง-เสริมอาหาร ดันยอดรายได้ปีหน้า 1,600 ล้านบาท
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตน้ำมันรำข้าวดิบและรำสกัดน้ำมัน เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนขยายธุรกิจในปี 2555 ด้วยการสร้างแบรนด์น้ำมันรำข้าวภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ชื่อ “T.R.B.O.” หลังจากที่ทำธุรกิจเป็นผู้ผลิตน้ำมันรำข้าวดิบและรำสกัดน้ำมันอัมานานจนจนก้าวขึ้นสู่อันดับที่สามขององประเทศ เน้นผลิตป้อนให้กับผู้ผลิตสินค้าทั้งในและต่างประเทศมานาน
“จริงๆแล้วเราเป็นแหล่งผลิตสำคัญของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ แต่ที่ผ่านมาเราส่งสินค้าวัตถุดิบจากรำข้าวในราคากิโลกรัมละไม่กี่สิบบาท ไปขายให้ต่างชาติพัฒนาและนำกลับมาขายเราให้ราคาหลายพันบาท ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม” นายพิธากล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบประมาณการลงทุนไว้ที่ 50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบก่อสร้า
โรงกลั่นน้ำมนั 30 ล้านบาท ที่สิงห์บุรี ส่วนงบอีก 20 ล้านบาท จะใช้ในการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอีก เบื้องต้นคาดว่าจะมีประมาณ 20 รายการ และจะเริ่มทอยยทำตลาด 2-3 รายการก่อน
โดยช่องทางการจำหน่ายสินค้านั้น จะวางตลาดในโมเดิร์นเทรดกับช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางจะมีราคาระหว่าง 350-2,000 บาท เเริ่มด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า ส่วนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีราคา 790 บาท โดยจะใช้งบทำตลาดอีก 20 ล้านบาทในปีหน้
ส่วนแผนระยะยาวในประเทศนั้นจะพิจารณาพื้นที่ก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มเติมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในอีก 4-5 ปี มีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย เพื่อขยายธุรกิจต่อเนื่อง ส่วนในต่างประเทศนั้น ในปี 2563 เตรียมขยายการลงทุนในประเทศผู้ผลิตข้าวในภูมิภาคเอเชียอีก 3 ประเทศ เพื่อก่อสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ขณะทีในประเทศกำลัง
นายพิธากล่าวว่า จากแผนการลงทุนในปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวม 1,600 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ 100 ล้านบาท และการขยายตัวจากตลาดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในตลาดต่างประเทศได้ลูกค้าใหม่เพิ่มจากประเทศนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนรายได้ปีหน้า ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ กลับมามีสัดส่วนเท่ากันที่ 50:50
ส่วนภาพรวมรายได้ของบริษัทฯปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 1,100 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% ซึ่งเดิมสัดส่วนรายได้จะเท่ากัน 50:50 แต่การที่สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศลดลงไปเพราะผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริษัท
นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีอีโอ อกริฟู้ด จำกัด ผู้ผลิตน้ำมันรำข้าวดิบและรำสกัดน้ำมัน เปิดเผยว่า บริษัทฯมีแผนขยายธุรกิจในปี 2555 ด้วยการสร้างแบรนด์น้ำมันรำข้าวภายใต้แบรนด์ของตัวเอง ชื่อ “T.R.B.O.” หลังจากที่ทำธุรกิจเป็นผู้ผลิตน้ำมันรำข้าวดิบและรำสกัดน้ำมันอัมานานจนจนก้าวขึ้นสู่อันดับที่สามขององประเทศ เน้นผลิตป้อนให้กับผู้ผลิตสินค้าทั้งในและต่างประเทศมานาน
“จริงๆแล้วเราเป็นแหล่งผลิตสำคัญของผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ แต่ที่ผ่านมาเราส่งสินค้าวัตถุดิบจากรำข้าวในราคากิโลกรัมละไม่กี่สิบบาท ไปขายให้ต่างชาติพัฒนาและนำกลับมาขายเราให้ราคาหลายพันบาท ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องหันมสร้างแบรนด์ของตัวเองเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม” นายพิธากล่าว
ทั้งนี้บริษัทฯตั้งงบประมาณการลงทุนไว้ที่ 50 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบก่อสร้า
โรงกลั่นน้ำมนั 30 ล้านบาท ที่สิงห์บุรี ส่วนงบอีก 20 ล้านบาท จะใช้ในการพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอีก เบื้องต้นคาดว่าจะมีประมาณ 20 รายการ และจะเริ่มทอยยทำตลาด 2-3 รายการก่อน
โดยช่องทางการจำหน่ายสินค้านั้น จะวางตลาดในโมเดิร์นเทรดกับช่องทางออนไลน์เป็นหลัก ซึ่งสินค้ากลุ่มเครื่องสำอางจะมีราคาระหว่าง 350-2,000 บาท เเริ่มด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการบำรุงและทำความสะอาดผิวหน้า ส่วนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจะมีราคา 790 บาท โดยจะใช้งบทำตลาดอีก 20 ล้านบาทในปีหน้
ส่วนแผนระยะยาวในประเทศนั้นจะพิจารณาพื้นที่ก่อสร้างโรงกลั่นน้ำมันเพิ่มเติมในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และในอีก 4-5 ปี มีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย เพื่อขยายธุรกิจต่อเนื่อง ส่วนในต่างประเทศนั้น ในปี 2563 เตรียมขยายการลงทุนในประเทศผู้ผลิตข้าวในภูมิภาคเอเชียอีก 3 ประเทศ เพื่อก่อสร้างโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ขณะทีในประเทศกำลัง
นายพิธากล่าวว่า จากแผนการลงทุนในปีหน้าบริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้รวม 1,600 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ 100 ล้านบาท และการขยายตัวจากตลาดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในตลาดต่างประเทศได้ลูกค้าใหม่เพิ่มจากประเทศนิวซีแลนด์และออสเตรเลีย ซึ่งคาดว่าจะทำให้สัดส่วนรายได้ปีหน้า ระหว่างในประเทศกับต่างประเทศ กลับมามีสัดส่วนเท่ากันที่ 50:50
ส่วนภาพรวมรายได้ของบริษัทฯปีนี้คาดว่าจะมีประมาณ 1,100 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% ซึ่งเดิมสัดส่วนรายได้จะเท่ากัน 50:50 แต่การที่สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศลดลงไปเพราะผลกระทบจากเหตุการณ์สึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของบริษัท