ASTVผู้จัดการรายวัน - ทีเอ็มบี เดินหน้าแผน 5 ปีต่อเนื่อง ตั้งเป้าปีหน้าสินเชื่อโตกว่า 15% จากปีหน้าที่คาดว่าโต 15% เน้นกลุ่ม SME - Wholsale ส่วนกรณีมีหลายกลุ่มสนใจซื้อหุ้นจากคลัง ระบุไม่มีผล ยันฐานะแข็งแกร่ง
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)(TMB) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปี 2555 จะยังคงเป็นไปตามแผนธุรกิจ 5 ปี คือตั้งแต่ 2553-2557 ซึ่งในปีหน้าจะมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่อง "Transactional Banking" โดยการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง ในขณะเดียวกันก็จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางด้านเงินฝากที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
ด้านสินเชื่อรวมตั้งเป้าว่าเติบโตมากกว่า 15% ซึ่งสูงกว่าระบบที่คาดว่าจะเติบโต 12-13% และจากปี 54 ที่คาดว่าสินเชื่อรวมของธนาคารจะเติบโตประมาณ 15% สูงกว่าระบบที่คาดโต 9% และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้โตมากกว่า 10% โดยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโตแล้ว 15%
ทั้งนี้ ในปี 55 สินเชื่อธุรกิจลูกค้าขนาดกลางและย่อม (SME)น่าจะเติบโตมากกว่า 20% ขณะที่ธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าบรรษัท (Wholesale) คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตมากกว่า 10% ธุรกรรมการค้างต่างประเทศโตมากกว่า 30% และคาดว่ามีลูกค้าใหม่ 600 ราย ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อย (Retail) คาดว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกันจะเติบโตมากกว่า 20% ด้านเงินฝากโตมากกว่า 15% และมีบัญชีลูกค้าใหม่ 1 ล้านบัญชี
สำหรับสัดส่วนสินเชื่อของธนาคารปัจจุบันโดยประมาณแบ่งเป็นสินเชื่อเอสเอ็มอี 30% สินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าบรรษัท 50%และสินเชื่อลูกค้ารายย่อย 20% ซึ่งในปีหน้าตั้งเป้าว่าสินเชื่อทั้ง 3 ธุรกิจจะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ขณะที่สินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าบรรษัทอยู่ที่ 30% และสินเชื่อรายย่อยเพิ่มเป็น 30%
นายบุญทักษ์กล่าวอีกว่า ปี 55 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูหลายอุตสาหกรรมก็ต้องการสินเชื่อ ความผันผวนของเศรษฐกิจยุโรปกับสหรัฐฯก็น่าจะลดลง โดยทั้งระบบน่าจะโตได้ 12-13% เนื่องจาก สินเชื่อส่วนเดิมก็ยังไม่ได้เรียกคืน และยังมีสินเชื่อใหม่ที่ปล่อยเพื่อการฟื้นฟูเพิ่มเติมไปอีก ส่วนเศรษฐกิจไทยปีหน้าคาดว่าจะโต 3-4% ซึ่งโดยปกติแล้ว สินเชื่อก็จะโตเป็น 2 เท่าของจีดีพี แต่สินเชื่อที่โตเกินระบบมาจากการฟื้นฟู โดยสินเชื่อที่คาดว่าจะโตอย่างโดดเด่นก็เป็น SME กับ Wholesale
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าจะอยู่ที่ 4.4% ลดลงจากสิ้นปี 54 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 5.8% โดย NPL ของธนาคารในปัจจุบันคิดเป็นวงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ด้านการบริหารจัดการ ธนาคารจะมีการปรับปรุงสาขาและย้ายสาขารวมทั้งตู้เอทีเอ็มไปไว้ในทำเลที่สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า พร้อมกันนั้น จะมีการเพิ่มเครื่องฝากเงินอีก 140 เครื่องตามสถานต่างๆ การพัฒนาระบบ Internet Banking และ Mobile Banking รวมทั้งระบบCall Center และจากแผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 5 ปีดังกล่าว ธนาคารคาดว่าในปี 57 ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ROE จะอยู่ที่ 14%, ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ROA ที่ 1% และ NIM อยู่ที่ 2.8-2.9%
เมินเปลี่ยนผู้ถือหุ้นยันฐานะแข็งแกร่ง
สำหรับกระแสเรื่องที่มีนักลงทุนหลายรายแสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นของธนาคาร ที่กระทรวงการคลังถืออยู่จำนวน 26.11% นั้น นายบุญทักษ์กล่าวว่า ธนาคารเป็นบริษัทมหาชนซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้น การที่ผู้ถือหุ้นจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่สำคัญคือ ขณะนี้ฐานะทางการเงินของธนาคารก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถที่จะดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคง
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)(TMB) เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินธุรกิจของธนาคารในปี 2555 จะยังคงเป็นไปตามแผนธุรกิจ 5 ปี คือตั้งแต่ 2553-2557 ซึ่งในปีหน้าจะมุ่งให้ความสำคัญกับเรื่อง "Transactional Banking" โดยการพัฒนาบริการและผลิตภัณฑ์ต่างๆเพื่อให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ง่ายขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง ในขณะเดียวกันก็จะมีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางด้านเงินฝากที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
ด้านสินเชื่อรวมตั้งเป้าว่าเติบโตมากกว่า 15% ซึ่งสูงกว่าระบบที่คาดว่าจะเติบโต 12-13% และจากปี 54 ที่คาดว่าสินเชื่อรวมของธนาคารจะเติบโตประมาณ 15% สูงกว่าระบบที่คาดโต 9% และสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้โตมากกว่า 10% โดยสินเชื่อของธนาคารในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาเติบโตแล้ว 15%
ทั้งนี้ ในปี 55 สินเชื่อธุรกิจลูกค้าขนาดกลางและย่อม (SME)น่าจะเติบโตมากกว่า 20% ขณะที่ธุรกิจลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าบรรษัท (Wholesale) คาดว่าสินเชื่อจะเติบโตมากกว่า 10% ธุรกรรมการค้างต่างประเทศโตมากกว่า 30% และคาดว่ามีลูกค้าใหม่ 600 ราย ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อย (Retail) คาดว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกันจะเติบโตมากกว่า 20% ด้านเงินฝากโตมากกว่า 15% และมีบัญชีลูกค้าใหม่ 1 ล้านบัญชี
สำหรับสัดส่วนสินเชื่อของธนาคารปัจจุบันโดยประมาณแบ่งเป็นสินเชื่อเอสเอ็มอี 30% สินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าบรรษัท 50%และสินเชื่อลูกค้ารายย่อย 20% ซึ่งในปีหน้าตั้งเป้าว่าสินเชื่อทั้ง 3 ธุรกิจจะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น โดยสินเชื่อเอสเอ็มอีน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ขณะที่สินเชื่อลูกค้าขนาดใหญ่และลูกค้าบรรษัทอยู่ที่ 30% และสินเชื่อรายย่อยเพิ่มเป็น 30%
นายบุญทักษ์กล่าวอีกว่า ปี 55 เป็นปีแห่งการฟื้นฟูหลายอุตสาหกรรมก็ต้องการสินเชื่อ ความผันผวนของเศรษฐกิจยุโรปกับสหรัฐฯก็น่าจะลดลง โดยทั้งระบบน่าจะโตได้ 12-13% เนื่องจาก สินเชื่อส่วนเดิมก็ยังไม่ได้เรียกคืน และยังมีสินเชื่อใหม่ที่ปล่อยเพื่อการฟื้นฟูเพิ่มเติมไปอีก ส่วนเศรษฐกิจไทยปีหน้าคาดว่าจะโต 3-4% ซึ่งโดยปกติแล้ว สินเชื่อก็จะโตเป็น 2 เท่าของจีดีพี แต่สินเชื่อที่โตเกินระบบมาจากการฟื้นฟู โดยสินเชื่อที่คาดว่าจะโตอย่างโดดเด่นก็เป็น SME กับ Wholesale
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คาดว่าจะอยู่ที่ 4.4% ลดลงจากสิ้นปี 54 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 5.8% โดย NPL ของธนาคารในปัจจุบันคิดเป็นวงเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท
ด้านการบริหารจัดการ ธนาคารจะมีการปรับปรุงสาขาและย้ายสาขารวมทั้งตู้เอทีเอ็มไปไว้ในทำเลที่สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า พร้อมกันนั้น จะมีการเพิ่มเครื่องฝากเงินอีก 140 เครื่องตามสถานต่างๆ การพัฒนาระบบ Internet Banking และ Mobile Banking รวมทั้งระบบCall Center และจากแผนการดำเนินธุรกิจในระยะ 5 ปีดังกล่าว ธนาคารคาดว่าในปี 57 ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น ROE จะอยู่ที่ 14%, ผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ ROA ที่ 1% และ NIM อยู่ที่ 2.8-2.9%
เมินเปลี่ยนผู้ถือหุ้นยันฐานะแข็งแกร่ง
สำหรับกระแสเรื่องที่มีนักลงทุนหลายรายแสดงความสนใจที่จะซื้อหุ้นของธนาคาร ที่กระทรวงการคลังถืออยู่จำนวน 26.11% นั้น นายบุญทักษ์กล่าวว่า ธนาคารเป็นบริษัทมหาชนซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ดังนั้น การที่ผู้ถือหุ้นจะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาถือเป็นเรื่องปกติ สิ่งที่สำคัญคือ ขณะนี้ฐานะทางการเงินของธนาคารก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น สามารถที่จะดำเนินธุรกิจได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคง
