เมื่อเวลา 12.30 น. วานนี้ (16 ธ.ค.) นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการออก พ.ร.บ.ปรองดอง ว่า อะไรก็ตามถ้าเป็นสิ่งที่ดี ได้ประโยชน์กับคนส่วนรวม และทำให้เกิดความสมานฉันท์ ปรองดองของคนในชาติ พรรคเพื่อไทยก็ทำทันที
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่15 ธ.ค. ตนได้คุยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นการส่วนตัว ท่านก็ส่งเสริมสนับสนุนทุกอย่าง ในการที่จะให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ น่าจะมีข้อเสนออะไรดี ๆ ที่รับได้กันทุกฝ่ายแล้วเอามาคุยกัน ซึ่งท่านบอกว่า ท่านจะส่งเสริมสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากประชาชน ที่มาจากการเลือกตั้ง ท่านเห็นว่าถ้าบ้านเมืองไม่ปรองดอง สมานฉันท์ ท้ายที่สุดก็จะเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีกเยอะ จึงเตือนว่า ในเมื่อทราบว่าปลายทางของ 2 เส้นทาง ถ้าเดินเส้นทางนี้จะเกิดผลอย่างหนึ่ง เดินอีกเส้นทาง ก็เป็นผลอีกอย่าง ท่านก็อยากให้เราเลือกเดินเส้นทางที่เกิดประโยชน์สุข เกิดความสงบ และจะได้พัฒนาประเทศไปด้วยกัน
เมื่อถามว่า แต่คนบางส่วนไม่เชื่อที่พรรคเพื่อไทย อ้างว่ามีเจตนาช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเดียว นายยงยุทธ กล่าวว่า คงต้องทำความเข้าใจกันให้ได้ว่า เราทำเพื่อหลักการ ไม่ได้ทำเพื่อคนๆ เดียว ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไร ก็ต้องคอย ต้องทำ
เมื่อถามว่า ปลายทางหากทำให้แตกแยกคนไทยฆ่ากัน พรรคเพื่อไทยยังจะเดินหน้าหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ก็ต้องหลีกเลี่ยง ที่ตนได้คุยกับผบ.ทบ. ท่านก็ไม่ประสงค์จะเห็นภาพอย่างนั้น พรรคเพื่อไทยก็เช่นกัน
เมื่อถามว่า คิดว่าจะมีการพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างฝ่ายตรงข้ามก่อนหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า สื่อก็พูดเหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์พูด เพราะไม่มีอะไรดีกว่าการคุยกัน จะให้รถไฟสองขบวนมาชนกันทำไม เหมือนรถไฟขบวนอภิสิทธิ์ ขนอำมาตย์ หรือคนชั้นปกครองนั่งมา นักวิชาการมาด้วยเยอะแยะ กับรถไฟขบวนประชาชน ที่เป็นรากหญ้าที่วิ่งกันมาด้วยความเร็วสูง ทำอย่างไรไม่ให้วิ่งเข้าหากัน ให้วิ่งแยกรางรางกันเสีย แต่ไปสู่สถานีของความสงบความสุขความเจริญของบ้านเมือง ก็วิ่งแข่งกันไป ซึ่งคงต้องหาคนกลางมาประสานงาน ผบ.ทบ. ก็พูดว่ามันมีทางออกทางเดียวให้ตนไปคิดหาวิธีการให้เกิดแบบนี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะท่านไม่อยากเห็นบ้านเมืองมันเกิดโศกนาฎกรรมเหมือนในต่างประเทศ
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่า จะต้องมีโมเดลตั้งโต๊ะเจรากันระหว่างรัฐบาล ฝ่ายค้าน และกองทัพ นายยงยุทธ กล่าวว่า ทหารท่านก็บอกว่าท่านไม่เป็นตัวอุปสรรค ผบ.ทบ.ไม่ได้บอกว่าท่านจะเป็นกาวใจ เพียงแต่บอกว่าเดี๋ยวเจอกันคราวหน้ามันต้องระดับพวกเรามาคุยกัน ผบ.ทบ.เป็นคนพูดเองว่า ควรมีการพูดคุยกัน จะให้เอาพ่อแม่พี่น้องมาตายบนถนนกลาดเกลื่อนทำไม มันมีทางออกอยู่
เมื่อถามว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีเรื่องใดที่จะนำมาดำเนินการบ้าง นายยงยุทธ กล่าวว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. จะย้ายนักโทษคดีการเมือง ไม่ใช่การทำผิดคดีอาญาทั่วไป ไปคุมขังที่โรงเรียนตำรวจบางเขน ซึ่งตอนนี้เหลือประมาณ 80 คน จาก101 คน เพราะได้รับพระราชทายอภัยโทษไป จากนั้นก็ตั้งอนุกรรมการเยียวยาทั้งทางแพ่ง และทางอาญา รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจทั้งต่อต่างประเทศและในประเทศ ตนกำลังรวบรวมคนกลาง ๆ ที่ประกาศชื่อมาสังคมรับได้
ส่วนที่นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านทวงถามความชัดเจนว่า ความผิดดคียิงอาร์พีจี ใส่กระทรวงกลาโหม ที่ศาลตัดสินไปแล้ว ตนไม่แน่ใจว่าจะเข้าข่ายคดีการเมืองหรือไม่ ต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูอีกที แต่คิดว่าคงไม่น่าจะใช่ รวมทั้งคดีทำผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้มีการนำเอาคำว่าปรองดองมาบังหน้าในแต่ละเรื่อง สิ่งที่เสนอออกมาก็จะมีแต่ความขัดแย้ง ดังนั้นควรเร่งแก้ปัญหา และการที่นายกฯ อ้างว่าจะให้เป็นหน้าที่สภาฯ นั้น ตนเห็นว่ารัฐบาลมีนโยบายเรื่องการปรองดอง แต่วันนี้ยังไม่เห็นรัฐบาลมีมาตราการอะไรที่เป็นรูปธรรมแม้แต่เรื่องเดียว มีแต่ข้อเสนอ หรือข่าวสารที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลมีนโยบายจริงจังในเรื่องการปรองดอง ก็ต้องปรับท่าทีและเรื่องการไปดำเนินการเรียกว่าโปร่งใส ไม่โปร่งใส หรือแอบทำ เช่นเรื่องหนังสือเดินทางและเรื่องอื่นๆ แต่กลับกลายมีข่าวเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงท่าทีการลอยตัวของนายกฯ ว่า นโยบายของรัฐบาลในเรื่องการปรองดอง ที่เคยเสนอมีอยู่หลายเรื่อง ก็ควรจะได้ดำเนินการตามที่เคยพูดไว้ เช่น ให้ คอป.เป็นกลไกนำ ที่จะทำเรื่องดังกล่าว ส่วนการพูดถึงสภาฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในระบบรัฐสภา รัฐบาลก็คือเสียงข้างมาก นายกฯ ก็ต้องทราบอยู่แล้ว เพียงแต่การปล่อยให้เป็นเรื่องของเสียงข้างมากในสภาฯ ก็คือความต้องการของรัฐบาล ดังนั้นควรจะเผชิญหน้า และการจะทำอะไรต้องมีเหตุผลรองรับ อย่าพยายามที่จะหนี แล้วมาผลักดันภายหลังจนทำให้เกิดความขัดแย้ง
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ออกมาระบุว่าจำเป็นต้องออกพ.ร.บ.ปรองดองเพื่อพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านเพราะได้หาเสียงไว้นั้น นายอภิสิทธิ์ ถามกลับว่า
" เรื่องไหนที่บอกว่าเป็นนโยบายหาเสียง เท่าที่จำได้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดในระหว่างหาเสียง ว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายนิรโทษกรรม "
การที่ร.ต.อ.เฉลิม อ้างถึง 15 ล้านเสียงที่สนับสนุนเรื่องนี้ คงไม่ใช่ เพราะอาจจะเป็น 15 ล้านเสียง ที่รอในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท รอข้าวทุกเม็ด 1.5 หมื่นบาท ตรงนั้นต่างหากที่ติดป้ายเต็มไปหมด
ส่วนความปรองดองที่อ้างว่าจะพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สรุปได้ว่า ความขัดแย้งที่สร้างขั้นมาทั้งหมด เป็นเรื่องผลประโยขน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ คิดว่าเป็นเรื่องที่สังคมคงไม่ยอมรับ หากรัฐบาลยังยืนยันว่าเป็นนโยบายหเสียง ก็เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทย ไม่พูดความจริงกับประชาชน
นายยงยุทธ กล่าวด้วยว่า เมื่อวันที่15 ธ.ค. ตนได้คุยกับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นการส่วนตัว ท่านก็ส่งเสริมสนับสนุนทุกอย่าง ในการที่จะให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ น่าจะมีข้อเสนออะไรดี ๆ ที่รับได้กันทุกฝ่ายแล้วเอามาคุยกัน ซึ่งท่านบอกว่า ท่านจะส่งเสริมสนับสนุนรัฐบาลที่มาจากประชาชน ที่มาจากการเลือกตั้ง ท่านเห็นว่าถ้าบ้านเมืองไม่ปรองดอง สมานฉันท์ ท้ายที่สุดก็จะเกิดเหตุการณ์อะไรที่ไม่พึงปรารถนาอีกเยอะ จึงเตือนว่า ในเมื่อทราบว่าปลายทางของ 2 เส้นทาง ถ้าเดินเส้นทางนี้จะเกิดผลอย่างหนึ่ง เดินอีกเส้นทาง ก็เป็นผลอีกอย่าง ท่านก็อยากให้เราเลือกเดินเส้นทางที่เกิดประโยชน์สุข เกิดความสงบ และจะได้พัฒนาประเทศไปด้วยกัน
เมื่อถามว่า แต่คนบางส่วนไม่เชื่อที่พรรคเพื่อไทย อ้างว่ามีเจตนาช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างเดียว นายยงยุทธ กล่าวว่า คงต้องทำความเข้าใจกันให้ได้ว่า เราทำเพื่อหลักการ ไม่ได้ทำเพื่อคนๆ เดียว ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไร ก็ต้องคอย ต้องทำ
เมื่อถามว่า ปลายทางหากทำให้แตกแยกคนไทยฆ่ากัน พรรคเพื่อไทยยังจะเดินหน้าหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า ก็ต้องหลีกเลี่ยง ที่ตนได้คุยกับผบ.ทบ. ท่านก็ไม่ประสงค์จะเห็นภาพอย่างนั้น พรรคเพื่อไทยก็เช่นกัน
เมื่อถามว่า คิดว่าจะมีการพูดคุยกันอย่างไม่เป็นทางการระหว่างฝ่ายตรงข้ามก่อนหรือไม่ นายยงยุทธ กล่าวว่า สื่อก็พูดเหมือนกับที่ พล.อ.ประยุทธ์พูด เพราะไม่มีอะไรดีกว่าการคุยกัน จะให้รถไฟสองขบวนมาชนกันทำไม เหมือนรถไฟขบวนอภิสิทธิ์ ขนอำมาตย์ หรือคนชั้นปกครองนั่งมา นักวิชาการมาด้วยเยอะแยะ กับรถไฟขบวนประชาชน ที่เป็นรากหญ้าที่วิ่งกันมาด้วยความเร็วสูง ทำอย่างไรไม่ให้วิ่งเข้าหากัน ให้วิ่งแยกรางรางกันเสีย แต่ไปสู่สถานีของความสงบความสุขความเจริญของบ้านเมือง ก็วิ่งแข่งกันไป ซึ่งคงต้องหาคนกลางมาประสานงาน ผบ.ทบ. ก็พูดว่ามันมีทางออกทางเดียวให้ตนไปคิดหาวิธีการให้เกิดแบบนี้ขึ้นมาให้ได้ เพราะท่านไม่อยากเห็นบ้านเมืองมันเกิดโศกนาฎกรรมเหมือนในต่างประเทศ
เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่า จะต้องมีโมเดลตั้งโต๊ะเจรากันระหว่างรัฐบาล ฝ่ายค้าน และกองทัพ นายยงยุทธ กล่าวว่า ทหารท่านก็บอกว่าท่านไม่เป็นตัวอุปสรรค ผบ.ทบ.ไม่ได้บอกว่าท่านจะเป็นกาวใจ เพียงแต่บอกว่าเดี๋ยวเจอกันคราวหน้ามันต้องระดับพวกเรามาคุยกัน ผบ.ทบ.เป็นคนพูดเองว่า ควรมีการพูดคุยกัน จะให้เอาพ่อแม่พี่น้องมาตายบนถนนกลาดเกลื่อนทำไม มันมีทางออกอยู่
เมื่อถามว่า ข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) มีเรื่องใดที่จะนำมาดำเนินการบ้าง นายยงยุทธ กล่าวว่า ในวันที่ 21 ธ.ค. จะย้ายนักโทษคดีการเมือง ไม่ใช่การทำผิดคดีอาญาทั่วไป ไปคุมขังที่โรงเรียนตำรวจบางเขน ซึ่งตอนนี้เหลือประมาณ 80 คน จาก101 คน เพราะได้รับพระราชทายอภัยโทษไป จากนั้นก็ตั้งอนุกรรมการเยียวยาทั้งทางแพ่ง และทางอาญา รวมทั้งการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจทั้งต่อต่างประเทศและในประเทศ ตนกำลังรวบรวมคนกลาง ๆ ที่ประกาศชื่อมาสังคมรับได้
ส่วนที่นายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านทวงถามความชัดเจนว่า ความผิดดคียิงอาร์พีจี ใส่กระทรวงกลาโหม ที่ศาลตัดสินไปแล้ว ตนไม่แน่ใจว่าจะเข้าข่ายคดีการเมืองหรือไม่ ต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูอีกที แต่คิดว่าคงไม่น่าจะใช่ รวมทั้งคดีทำผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านฯ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขณะนี้มีการนำเอาคำว่าปรองดองมาบังหน้าในแต่ละเรื่อง สิ่งที่เสนอออกมาก็จะมีแต่ความขัดแย้ง ดังนั้นควรเร่งแก้ปัญหา และการที่นายกฯ อ้างว่าจะให้เป็นหน้าที่สภาฯ นั้น ตนเห็นว่ารัฐบาลมีนโยบายเรื่องการปรองดอง แต่วันนี้ยังไม่เห็นรัฐบาลมีมาตราการอะไรที่เป็นรูปธรรมแม้แต่เรื่องเดียว มีแต่ข้อเสนอ หรือข่าวสารที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้น หากรัฐบาลมีนโยบายจริงจังในเรื่องการปรองดอง ก็ต้องปรับท่าทีและเรื่องการไปดำเนินการเรียกว่าโปร่งใส ไม่โปร่งใส หรือแอบทำ เช่นเรื่องหนังสือเดินทางและเรื่องอื่นๆ แต่กลับกลายมีข่าวเรื่องพวกนี้มาโดยตลอด
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงท่าทีการลอยตัวของนายกฯ ว่า นโยบายของรัฐบาลในเรื่องการปรองดอง ที่เคยเสนอมีอยู่หลายเรื่อง ก็ควรจะได้ดำเนินการตามที่เคยพูดไว้ เช่น ให้ คอป.เป็นกลไกนำ ที่จะทำเรื่องดังกล่าว ส่วนการพูดถึงสภาฯ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในระบบรัฐสภา รัฐบาลก็คือเสียงข้างมาก นายกฯ ก็ต้องทราบอยู่แล้ว เพียงแต่การปล่อยให้เป็นเรื่องของเสียงข้างมากในสภาฯ ก็คือความต้องการของรัฐบาล ดังนั้นควรจะเผชิญหน้า และการจะทำอะไรต้องมีเหตุผลรองรับ อย่าพยายามที่จะหนี แล้วมาผลักดันภายหลังจนทำให้เกิดความขัดแย้ง
ส่วนที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ออกมาระบุว่าจำเป็นต้องออกพ.ร.บ.ปรองดองเพื่อพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้านเพราะได้หาเสียงไว้นั้น นายอภิสิทธิ์ ถามกลับว่า
" เรื่องไหนที่บอกว่าเป็นนโยบายหาเสียง เท่าที่จำได้ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พูดในระหว่างหาเสียง ว่าพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายนิรโทษกรรม "
การที่ร.ต.อ.เฉลิม อ้างถึง 15 ล้านเสียงที่สนับสนุนเรื่องนี้ คงไม่ใช่ เพราะอาจจะเป็น 15 ล้านเสียง ที่รอในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท รอข้าวทุกเม็ด 1.5 หมื่นบาท ตรงนั้นต่างหากที่ติดป้ายเต็มไปหมด
ส่วนความปรองดองที่อ้างว่าจะพาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศ ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็สรุปได้ว่า ความขัดแย้งที่สร้างขั้นมาทั้งหมด เป็นเรื่องผลประโยขน์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่ คิดว่าเป็นเรื่องที่สังคมคงไม่ยอมรับ หากรัฐบาลยังยืนยันว่าเป็นนโยบายหเสียง ก็เท่ากับว่าพรรคเพื่อไทย ไม่พูดความจริงกับประชาชน