นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล กรรมการผู้จัดใหญ่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน)หรือ BJC เปิดเผยว่าบริษัทอยู่
ระหว่างการเจรจาในการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจกระจายสินค้าในประเทศเวียดนามเหนือ จากที่บริษัทดังกล่าวนั้นมีการ
กระจายสินค้ากว่า 3 แสนร้านค้า เพื่อที่บริษัทจะนำสินค้าไปจำหน่ายได้ทั่วประเทศเวียดนาม จากก่อนหน้านี้ที่บริษัทมีการจำหน่าย
สินค้าในเวียดนามใต้ โดยบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นใหญ่ ประมาณ 51% โดยขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้เงินลงทุนในการซื้อหุ้น
เท่าใด เพราะยังอยู่ระหว่างการเจรจา โดยบริษัทมีแผนที่จะมีการเข้าไปลงทุนเพิ่มในแถบประเทศอินโดจีนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส4 ปี 54 คาดว่ายอดขายและกำไรจะมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากลูกค้าและคู่ค้าของบริษัท
ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่โรงงานของบริษัททั้ง 12 แห่ง นั้นไม่ได้ถูกน้ำท่วม โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผล
ว่ายอดขายกำไรของบริษัทปรับตัวลดดลงเท่าไร ซึ่งปีนี้บริษัทยังคงคาดว่ารายได้น่าจะโตเกิน 15% หรือมีรายได้มากกว่า 2.5 หมื่น
ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนแรกของบริษัทมียอดขาย 2.2 หมื่นล้านบาท
สำหรับปีหน้าบริษัทคาดว่าปีน้าจะมียอดขายเติบโต 15% จากปีนี้ เนื่องจากบริษัทจะออกสินค้าใหม่ ๆ ในทุกสินค้า แต่ที่
เน้นมากขึ้นจะเป็นทางด้านสินค้าทางเครื่องมือแพทย์และเวชสำอางและจะมีการจำหน่ายในร้านขายยาและโรงพยบาล รวมถึงสินค้า
เดิมของบริษัทมียอดขายมากขึ้น ประกอบกับปีหน้าโรงงานผลิตกระป๋องในเวียดนามจะรับรู้รายได้จากที่จะมีการออกจำหน่ายใน
เดือนพฤษภาคมนี้ โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1.5-1.6 พันล้านบาทต่อปี
นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทจะขอวงเงินในการออกหุ้นกู้ปีหน้ามูลค่า 5- 6 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นลักษณะการทยอยออก
เพื่อรองรับกับหุ้นกู้เดิมที่จะมีการครบอายุและใช้ในการขยายธุรกิจ โดยขณะนี้จากการที่จำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 26% ทำให้บริษัทสามารถเข้าในอยู่ SET 50 ได้แล้ว จึงทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก ยกเว้น
กรณีที่บริษัทจะต้องเข้าไปซื้อกิจการขนาดใหญ่
" การเพิ่มทุนจะทำก็ต่อเมื่อสามารถเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่เท่านั้น หากใช้เงินทุน 1-2 พันล้านบาท ไม่จำเป็นต้องทำจากที่
บริษัทมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน 6-7 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างทำแผนงานปีหน้า คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนธ.ค.นี้
" นายอัศวิน กล่าว
ระหว่างการเจรจาในการเข้าไปซื้อหุ้นบริษัทที่ทำธุรกิจกระจายสินค้าในประเทศเวียดนามเหนือ จากที่บริษัทดังกล่าวนั้นมีการ
กระจายสินค้ากว่า 3 แสนร้านค้า เพื่อที่บริษัทจะนำสินค้าไปจำหน่ายได้ทั่วประเทศเวียดนาม จากก่อนหน้านี้ที่บริษัทมีการจำหน่าย
สินค้าในเวียดนามใต้ โดยบริษัทจะเข้าไปถือหุ้นใหญ่ ประมาณ 51% โดยขณะนี้ยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะใช้เงินลงทุนในการซื้อหุ้น
เท่าใด เพราะยังอยู่ระหว่างการเจรจา โดยบริษัทมีแผนที่จะมีการเข้าไปลงทุนเพิ่มในแถบประเทศอินโดจีนเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ผลประกอบการในไตรมาส4 ปี 54 คาดว่ายอดขายและกำไรจะมีการปรับตัวลดลง เนื่องจากลูกค้าและคู่ค้าของบริษัท
ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม แต่โรงงานของบริษัททั้ง 12 แห่ง นั้นไม่ได้ถูกน้ำท่วม โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการประเมินผล
ว่ายอดขายกำไรของบริษัทปรับตัวลดดลงเท่าไร ซึ่งปีนี้บริษัทยังคงคาดว่ารายได้น่าจะโตเกิน 15% หรือมีรายได้มากกว่า 2.5 หมื่น
ล้านบาท จากช่วง 9 เดือนแรกของบริษัทมียอดขาย 2.2 หมื่นล้านบาท
สำหรับปีหน้าบริษัทคาดว่าปีน้าจะมียอดขายเติบโต 15% จากปีนี้ เนื่องจากบริษัทจะออกสินค้าใหม่ ๆ ในทุกสินค้า แต่ที่
เน้นมากขึ้นจะเป็นทางด้านสินค้าทางเครื่องมือแพทย์และเวชสำอางและจะมีการจำหน่ายในร้านขายยาและโรงพยบาล รวมถึงสินค้า
เดิมของบริษัทมียอดขายมากขึ้น ประกอบกับปีหน้าโรงงานผลิตกระป๋องในเวียดนามจะรับรู้รายได้จากที่จะมีการออกจำหน่ายใน
เดือนพฤษภาคมนี้ โดยโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 1.5-1.6 พันล้านบาทต่อปี
นายอัศวิน กล่าวว่า บริษัทจะขอวงเงินในการออกหุ้นกู้ปีหน้ามูลค่า 5- 6 พันล้านบาท ซึ่งจะเป็นลักษณะการทยอยออก
เพื่อรองรับกับหุ้นกู้เดิมที่จะมีการครบอายุและใช้ในการขยายธุรกิจ โดยขณะนี้จากการที่จำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 26% ทำให้บริษัทสามารถเข้าในอยู่ SET 50 ได้แล้ว จึงทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องเพิ่มทุนอีก ยกเว้น
กรณีที่บริษัทจะต้องเข้าไปซื้อกิจการขนาดใหญ่
" การเพิ่มทุนจะทำก็ต่อเมื่อสามารถเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่เท่านั้น หากใช้เงินทุน 1-2 พันล้านบาท ไม่จำเป็นต้องทำจากที่
บริษัทมีวงเงินกู้จากสถาบันการเงิน 6-7 พันล้านบาท ขณะที่บริษัทอยู่ระหว่างทำแผนงานปีหน้า คาดว่าจะเสร็จภายในสิ้นเดือนธ.ค.นี้
" นายอัศวิน กล่าว
