ASTVผู้จัดการรายวัน - สมาคมพัฒนาฯค้าปลีกทุนไทยชี้ น้ำท่วมใหญ่กระทบค้าปลีกปิดตัวแล้ว ว 20,000 ราย คาดเป็นโอกาสทองผู้ผลิตรายใหม่นอกพื้นที่น้ำท่วมหลังน้ำลด ด หวั่นพ่อค้าแม่ค้าไม่ซื่อนำสินค้าค้างปีมาจำหน่าย แนะผู้ประกอบการเร่งปรับระบบซัพพลายเชนรับศึกหนักภัยอนาคต
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย(สพท.) เปิดเผยว่า ในภาวะวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ ทำให้ร้านค้าปลีกหลายแห่งปิดกิจการ โดยในเขตพื้นที่น้ำท่วมมีการปิดไปแล้วกว่า 20,000 แห่งจากจำนวนร้านค้าปลีกที่มีอยู่กว่า 6 แสนรายทั่วประเทศ ปัจจุบันสินค้าหลายรายการไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด โดยเฉพาะสินค้าประเภทสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น อาหารและน้ำดื่ม เพราะผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของผู้ผลิตรายกลางและเล็กหรือแม้แต่ระดับภูมิภาคในการผลิตสินค้าป้อนตลาดทดแทน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ตั้งอยู่นอกเขตพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม
“หลังจากน้ำลดลงจะเกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้นถือว่าเป็นช่วงปรับฐานนการผลิตของประเทศ จะมีการจ้างงานมากขึ้นเพื่อรองรับการฟื้นฟูในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ตลอดจนความต้องการด้านวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆในการประกอบอาชีพ อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย”นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับร้านโชห่วยและผู้ค้าปลีกท้องถิ่นที่ไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมก็ไม่ควรฉวยโอกาสจำหน่ายเกินราคาและนำสินค้าค้างปีออกมาจำหน่าย จึงขอฝากไปยังเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่ว่าจะเป็น สคบ., กรมการค้าภายใน, อย., สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ช่วยกันตรวจสอบคุณภาพของสินค้าอย่างเข้มงวดด้วย และรัฐบาลควรให้การสนับสนุนผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกขนาดกลางและย่อมมากขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมกว่า 10,000 รายขณะนี้ รัฐบาลควรเข้ามาช่วยเหลือ อาทิ ด้านภาษีอากร ด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆในการผลิต อันจะส่งผลดีต่อภาคการผลิตสินค้าในอนาคต
จากนี้ไปผู้ประกอบการค้าปลีกจะต้องปรับกระบวนการบริหารจัดการด้าน Supply Chain ใหม่หมด โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหาสินค้ามาจำหน่ายจะต้องกระจายความเสี่ยง มีซัพพลายเออร์หลายรายสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน แต่ละรายต้องตั้งอยู่ในต่างพื้นที่ ต่อมาก็เป็นการขนส่งสินค้าก็ต้องใช้รถขนส่งที่สามารถวิ่งได้หากมีน้ำท่วม นอกจากนี้ในเรื่องของคลังสินค้าก็จะต้องมีหลายแห่ง กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ ไม่ควรจะมีเพียงแห่งเดียว สุดท้ายเรื่องที่ตั้งทำเลการเปิดร้านค้าปลีกต้องพิจารณาในเรื่องน้ำท่วมว่าเคยถูกน้ำท่วมหรือไม่มาประกอบการพิจารณาเปิดร้านค้าด้วยเช่นกัน
“กรณีน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญของผู้ประกอบการที่จะนำไปปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของผู้ค้าปลีกก็ว่าได้ จะต้องเอามาวิเคราะห์และแก้ไขจุดอ่อนทุกจุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจของตนในอนาคต”นายสุวิทย์กล่าว
นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว นายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย(สพท.) เปิดเผยว่า ในภาวะวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่นี้ ทำให้ร้านค้าปลีกหลายแห่งปิดกิจการ โดยในเขตพื้นที่น้ำท่วมมีการปิดไปแล้วกว่า 20,000 แห่งจากจำนวนร้านค้าปลีกที่มีอยู่กว่า 6 แสนรายทั่วประเทศ ปัจจุบันสินค้าหลายรายการไม่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด โดยเฉพาะสินค้าประเภทสิ่งของเครื่องใช้จำเป็น อาหารและน้ำดื่ม เพราะผู้ผลิตรายใหญ่หลายรายได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ซึ่งน่าจะเป็นโอกาสของผู้ผลิตรายกลางและเล็กหรือแม้แต่ระดับภูมิภาคในการผลิตสินค้าป้อนตลาดทดแทน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ตั้งอยู่นอกเขตพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม
“หลังจากน้ำลดลงจะเกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่เพิ่มขึ้นถือว่าเป็นช่วงปรับฐานนการผลิตของประเทศ จะมีการจ้างงานมากขึ้นเพื่อรองรับการฟื้นฟูในภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจ ตลอดจนความต้องการด้านวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆในการประกอบอาชีพ อันจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย”นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับร้านโชห่วยและผู้ค้าปลีกท้องถิ่นที่ไม่ประสบปัญหาน้ำท่วมก็ไม่ควรฉวยโอกาสจำหน่ายเกินราคาและนำสินค้าค้างปีออกมาจำหน่าย จึงขอฝากไปยังเจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่ว่าจะเป็น สคบ., กรมการค้าภายใน, อย., สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม และองค์กรคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน ช่วยกันตรวจสอบคุณภาพของสินค้าอย่างเข้มงวดด้วย และรัฐบาลควรให้การสนับสนุนผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกขนาดกลางและย่อมมากขึ้น
ส่วนอุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อมหรือเอสเอ็มอี ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมกว่า 10,000 รายขณะนี้ รัฐบาลควรเข้ามาช่วยเหลือ อาทิ ด้านภาษีอากร ด้านสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อซื้อเครื่องมือ เครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆในการผลิต อันจะส่งผลดีต่อภาคการผลิตสินค้าในอนาคต
จากนี้ไปผู้ประกอบการค้าปลีกจะต้องปรับกระบวนการบริหารจัดการด้าน Supply Chain ใหม่หมด โดยเริ่มตั้งแต่การจัดหาสินค้ามาจำหน่ายจะต้องกระจายความเสี่ยง มีซัพพลายเออร์หลายรายสำหรับสินค้าชนิดเดียวกัน แต่ละรายต้องตั้งอยู่ในต่างพื้นที่ ต่อมาก็เป็นการขนส่งสินค้าก็ต้องใช้รถขนส่งที่สามารถวิ่งได้หากมีน้ำท่วม นอกจากนี้ในเรื่องของคลังสินค้าก็จะต้องมีหลายแห่ง กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ ไม่ควรจะมีเพียงแห่งเดียว สุดท้ายเรื่องที่ตั้งทำเลการเปิดร้านค้าปลีกต้องพิจารณาในเรื่องน้ำท่วมว่าเคยถูกน้ำท่วมหรือไม่มาประกอบการพิจารณาเปิดร้านค้าด้วยเช่นกัน
“กรณีน้ำท่วมใหญ่ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญของผู้ประกอบการที่จะนำไปปรับกระบวนการดำเนินธุรกิจทั้งหมดของผู้ค้าปลีกก็ว่าได้ จะต้องเอามาวิเคราะห์และแก้ไขจุดอ่อนทุกจุด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบต่อธุรกิจของตนในอนาคต”นายสุวิทย์กล่าว
