xs
xsm
sm
md
lg

ปฏิกิริยาแห่ง “มด” กับกรณี “Occupy Wall Street”

เผยแพร่:   โดย: บรรจง นะแส


จำได้ว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์มหันตภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิถล่มพื้นที่ 6 จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. 2547 จนเป็นเหตุทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 5,395 ศพ บาดเจ็บ 8,457 คน สูญหาย 2,995 คนนั้น มีลางบอกเหตุก่อนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวจากชาวบ้าน จากชาวประมงมากมายว่าพวกเขาได้เห็นปรากฏการณ์อันเป็นลางร้ายก่อนที่คลื่นยักษ์จะพัดเข้าถล่มชายฝั่งจนราบเป็นหน้ากลอง หนึ่งในปรากฏการณ์ดังกล่าวก็คือการที่ “มด” จำนวนมากมารวมตัวกันปีนป่ายขึ้นสู่พื้นที่สูงเพื่อหาทางเอาตัวรอด และมดเหล่านั้นก็รอดตาย มดไม่มีวิทยุสื่อสาร ไม่มีโทรศัพท์มือถือ มันยังรู้ได้ว่าภัยยิ่งใหญ่กำลังจะมาถึง ดังนั้นเราจึงไม่ควรมองข้ามปฏิกิริยาของคนกลุ่มหนึ่งที่มารวมตัวกันเมื่อ 2 อาทิตย์กว่าๆ ที่ผ่านมาภายใต้ชื่อที่เขาเรียกตัวเองว่าขบวนการ “ยึดวอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street)

ระบบทุนนิยมครอบโลกที่อาศัยเครื่องมือที่สำคัญคือ “ระบบดอกเบี้ย” ที่ผ่านกลไกของเหล่าธนาคาร ตลาดหุ้น ฯลฯ หรือการถูกรองรับด้วยระบบรวมศูนย์อำนาจ การครอบครองแหล่งวัตถุดิบและพื้นที่การตลาด รวมถึงการก้าวกระโดดของพัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้เกิดการยึดกุมมูลค่าส่วนเกินไปอยู่ในมือของคนจำนวนน้อย ทำให้คนส่วนใหญ่ซึ่งเปรียบเสมือน “มด” ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป ต่างเริ่มตระหนักและรับรู้ได้ว่ามันไม่มีความชอบธรรมเกิดขึ้น และจะเกิดมหันตภัยร้ายแรงตามมาแก่พวกเขา กล่าวคือจะถูกเอารัดเอาเปรียบมากยิ่งขึ้น จะถูกใช้แรงงานกายและแรงงานสมองเยี่ยงวัว ควาย หรือเยี่ยงทาส (แม้จะใส่สูทก็เถอะ)

ในอีกด้านของการพัฒนาระบบทุนนิยม คือ การก้าวกระโดดในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งก็ได้กลายเป็นเครื่องมือหนึ่งของ “มดงาน” ที่ได้นำเอา social media เช่น Twitter และ Facebook ( www.occupytogether.org) ให้เข้ามารับใช้ในการสื่อสารความทุกข์ยาก สื่อสารถึงการเอารัดเอาเปรียบของระบบทุนให้รับรู้และซึมซับระหว่างกัน จากปัจเจกสู่กลุ่ม สู่เครือข่ายได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง รวมถึงการนัดแนะกันออกมารวมพลังให้ปรากฏ

ปัญหาที่สั่นคลอนระบบทุนนิยมครอบโลกในปัจจุบัน ที่พวกเขายังไม่สามารถหาทางออกให้กับการดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงก็คือการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็ว ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติที่ร่อยหรอและถูกนำมาใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า ปัญหาความยากจนของประเทศกำลังพัฒนาที่นำไปสู่ความขัดแย้งภายในรัฐ ระหว่างรัฐต่อรัฐ อาชญากรรมข้ามชาติ การก่อการร้ายสากล ภัยคุกคามการแพร่กระจายของอาวุธนิวเคลียร์ การแพร่กระจายของโรคระบาดและภัยธรรมชาติในรูปแบบต่างๆ ที่หนักหน่วงรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ระบบรวมศูนย์และกลไกของระบบทุนนิยมยังตอบโจทย์ของปัญหาเหล่านี้ยังไม่ได้

ป้ายรณรงค์และการตั้งคำถามของกลุ่ม “ยึดวอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street) ที่ว่าทำไม? กลุ่มทุน 1% จึงสามารถควบคุมวิถีชีวิต และอนาคตของประชาชน 99%.....ทำไม? กลุ่มทุน 1% ร่ำรวยล้นฟ้า แต่ประชาชน 99% ยังหาเช้ากินคํ่า.....ทำไม? กลุ่มทุน 1% มีสิทธิครอบครองทรัพยากร แต่ประชาชน 99% แค่ได้อาศัย..จึงโดนใจคนทั่วโลกและแทงเข้าสู่กล่องดวงใจของระบบทุนนิยมอย่างแม่นยำ หากย่อส่วนของพื้นที่ปัญหาดังกล่าวเราจะพบว่ามันคือปัญหาร่วมของผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างในฟากฝั่งของยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี ฯลฯ หรือประเทศที่กำลังพัฒนาระบบการเมืองสู่ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี ซึ่งก็รวมถึงประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราด้วย คำถามจึงมีว่าเราจะเดินหน้าไปในร่องรอยและทิกศทางเช่นนี้ไปอีกนานเท่าไร?

ปฏิกิริยาแห่ง “มด” กับกรณี “Occupy Wall Street” ที่เหล่าพวกมดรับรู้ว่าภัยจากคลื่นยักษ์สึนามิที่กำลังจะมาถึงแล้วพากันหนีความตาย กับปฏิกิริยาการออกมารวมตัวกันของผู้ใช้แรงงานแห่งถนนวอลล์สตรีท และบุกเข้ายึดถนนวอลล์สตรีท ใจกลางกรุงนิวยอร์ก เมื่อ 17 กันยายนที่ผ่านมา โดยเริ่มจากคนหนุ่มสาวจำนวนร้อยกว่าคนที่มากางเต็นท์ และยึดพื้นที่บริเวณหน้าตลาดหุ้นวอลล์สตรีท จึงไม่แตกต่างกัน ในแง่ของการรับรู้ถึงภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นตามมาในไม่ช้า ขบวนการดังกล่าวถึงแม้จะเป็นขบวนการ “ขัดขืนแบบไร้ผู้นำ ประกอบไปด้วยผู้คนจากหลายสี เพศสภาวะและแนวคิดทางการเมือง” หากแต่มีจุดร่วมเดียวกัน คือ “เป็นร้อยละ 99 ที่จะไม่ทนต่อการขูดรีดและคอร์รัปชันของคนจำนวนร้อยละ 1”

พวกเขาระบุว่า จะมุ่งใช้ยุทธศาสตร์แบบสันติวิธีตามวิถีของ “อาหรับ สปริง” (คือการลุกฮือประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ลุกลามไปทั่วพื้นที่ทุกส่วนในตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ) ซึ่งที่ผ่านมาก็สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ได้ เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงจากการลุกฮือแบบไร้การนำในประเทศอาหรับที่ผ่านมาเมื่อต้นปี นั่นเอง

นอม ชอมสกี้ นักวิชาการเจ้าของรางวัลโนเบลได้ระบุในข้อความสนับสนุนที่เขาส่งไปยังกลุ่มผู้ประท้วงเพื่อให้กำลังใจว่า “ใครที่ตาสว่างก็คงจะรู้ว่าลัทธินายทุนเป็นใหญ่ในวอลล์สตรีท โดยทั่วไปก็คือสถาบันทางการเงิน ได้สร้างความเสียหายให้กับประชาชนของสหรัฐอเมริกาและของโลก และก็ควรจะรู้ด้วยว่าเขาทำอย่างนี้มาตลอด 30 ปีแล้ว และอำนาจทางเศรษฐกิจของพวกเขาก็ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมายพร้อมๆ กับอำนาจทางการเมือง และนั่นก็ทำให้เกิดวงจรอุบาทว์ ที่ทำให้ความร่ำรวยมหาศาลและอำนาจทางการเมือง กระจุกอยู่ในกลุ่มคนเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น...”

ก็อยากถามด้วยเสียงดังๆว่าสถานการณ์ในประเทศไทย สังคมไทยอันเป็นที่รักของพวกเรานั้น ในวันนี้อยู่ในสถานการณ์เช่นไร สำหรับผมมองว่ามันไม่ต่างกับการเกิดแผ่นดินไหวใต้ท้องทะเลเกิน 10 ริกเตอร์ใกล้ๆ กับชายฝั่งไม่เกิน 1,000 กิโลเมตร คลื่นยักษ์สึนามิเกิดขึ้นแน่นอนและจะพัดกระหน่ำเข้าสู่ประเทศไทยที่กินพื้นที่ทั่วทั้งประเทศโดยไม่ต้องสงสัย “มดงาน” คือราษฎรตาดำๆ หาเช้ากินค่ำอย่างเราๆ จะนั่งรอความตายก็คงจะอาย “มด” ขบวนการ “ยึดวอลล์สตรีท” (Occupy Wall Street) จึงเป็นรูปแบบหนึ่งของการลุกขึ้นสู้เพื่อเอาตัวรอด โดยลุกขึ้นมาตะโกนดังๆ พร้อมๆ กันว่า“พวกเราคือร้อยละ 99 ที่จะไม่ทนต่อการขูดรีดและคอร์รัปชันของคนจำนวนร้อยละ 1” อีกต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น