xs
xsm
sm
md
lg

รุกอุปกรณ์ยังชีพรับภัยพิบัติ “เอาท์ดอร์ฯ”บุกเน็ต-ตปท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน – “เอาท์ดอร์” ขยายไลน์สินค้าใหม่ รุกขายอุปกรณ์ยังชีพ รับภัยพิบัติธรรมชาติ พร้อมรุกช่องทางออนไลน์ หวังปั้นเป็นรีจินัลแบรนด์ คาดปีนี้โต 20%

นายวาสิต สิโรดม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอาท์ดอร์ อินโนเวชั่น จำกัด ผู้จัดจำหน่ายอุปกรณ์กลางแจ้งและแค้มป์ปิ้ง กล่าวว่า ปัจจุบันภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น สึนามิที่ญี่ปุ่นเมื่อต้นปีที่ผานมา หรือแม้แต่ในไทยเองที่เกิดภาวะน้ำท่วมฉับพลันและรุนแรว ทั่วประเทศ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเตรียมตัวไว้รบัมือจากเหตุการณ์ฉุกเฉิน
บริษัทฯมองเห็นความจำเป็นในจุดนี้ จึงได้ขยายไลน์สินค้าเกี่ยวกับ “Survive Now Product Division” หรืออุปกรณ์ยังชีพ รวมกว่า 200 รายการ ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับอุปกรณ์ยังชีพ โดยจัดเซ็ทเพื่อให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายในประเภทต่างๆดังนี้ 1.กระเป๋าล้อลาก Emergency Pack-2 ซึ่งสามารถใส่อุปกรณ์ยังชีพได้ 2 คน 2.กระเป๋าล้อลาก Emergency Pack-4 ซึ่งสามารถใส่อุปกรณ์ยังชีพได้ 4 คน 3.เป้ Survival Bag จะมี 2 ขนาด ใส่สินค้าต่างๆที่สามารถสะพายได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว 4.กระเป๋า Dry Pack ซึ่งกระเป๋าแบบนี้สามารถใส่อุปกรณ์ยังชีพได้ และกระเป๋กันน้ำได้
ส่งผลให้บริษัทฯมีสินค้ารวม 4 กลุ่มคือ 1.แบรนด์คาราน่า อุปกรณ์แค้มป์ปิ้ง สัดส่วนรายได้ 80% 2.แบรนด์อิควิน็อกซ์ เสื้อผ้า และ 3.แบรนด์คริปส์ กระเป๋าเดินทาง ทั้งสามแบรนด์เป็นของบริษัทฯ 4.กลุ่มอุปกรณ์ยังชีพ ซึ่งสินค้ามีทั้งการผลิตเอง 60% และนำเข้าจากต่างประเทศ 40%
นอกจากนั้นในปีหน้ายังมีแผนเพิ่มไลน์สินค้าอีก เช่น รองเท้าเอาท์ดอร์ แบรนด์ WENGER จากสวิสเซอร์แลนด์ทำตลาดต้นปีหน้า และกลุ่มกระเป่าเป้ ทำตลาดมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯไม่มีแผนขยายจดจำหน่ายมากนัก ล่าสุดปรับปรุงร้านอิควิน็อคที่อัมรินทร์พลาซ่าเพิ่มพื้นที่จาก 40 ตร.ม เป็น 100 ตร.ม. และเพิ่มร้านใหม่อีกชอปชื่อ ซับซีโร่ ที่อัมรินทร์พลาซ่า เพื่อจำหน่ายเสื้อผ้ากันหนาวเป็นหลัก จากปัจุบันมี 3 ชอปชื่อ อิควิน็อกซ์ คือ ที่อัมรินทร์พลาซ่า สยามดิสคัฟเวอร์รี่เซ็นเตอร์ สุขุมวิท 107 และจุดขายเคาน์เตอร์อีกกว่า 50 จุด
ขณะเดียวกันได้เพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ www.outdoor.co.th เมื่อเดือนที่แล้ว มียอดขายแล้ว 600,000 บาทต่อเดือน ซึ่งราคาสินค้าต่ำกว่าหน้าร้าน 5-10%
สำหรับตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าหมายภายใน 3-5 ปีจากนี้ จะต้องผลักดันแบรนด์ที่มีอยู่โดยเฉพาะ คาราน่า (KARANA) ให้เป็นรีจินัลแบรนด์ให้ได้ จากปัจจุบันทำตลาดด้วยการแต่งตั้งเอเยนต์แล้วในประเทศ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ลาว ส่วนปีหน้าจะตั้งเอเยนต์เพิ่มอีก 2 ประเทศคือ ฟิลิปินส์ และเวียดนาม รายได้จากต่างประเทศมีสัดส่วน 5%
นายวาสิต กล่าวว่า ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวม 250 ล้านบาท เติบโต 20% เช่นเดียวกับปีหน้าที่คาดว่าเติบโต 20%
กำลังโหลดความคิดเห็น