วานนี้ (3 ต.ค.) ที่รัฐสภา ในการประชุมวุฒิสภา ที่มีพล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา เป็นประธาน ก่อนเข้าวาระการประชุม นายคำนูณ สิทธิสมาน สว.สรรหา หารือว่า กรณีเนื้อหารายการนายกฯพบประชาชน ตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมีความเข้าใจในโครงการพระราชดำริ แต่มีความผิดพลาดในการกล่าวถึงโครงการในพระราชดำริ โดยกล่าวถึงการปลูกหญ้าแพรกเพื่อชะลอการไหลของน้ำตามที่ตนเข้าใจน่าจะเป็น “หญ้าแฝก”มากว่า ตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมีความรู้ดี แต่น่าจะพูดผิดจึงควรแก้ไขโดยการให้สัมภาษณ์หรือการแก้ไขในรายการครั้งต่อไปเพื่อไม่ให้ประชาชนและเยาวชนเกิดความเข้าใจผิด
นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนนี้มีความพยายามในการทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีอย่างจริงจัง และพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในทุกเรื่อง แม้กระทั่งส.ส.ฝ่ายค้านก็พยายามที่จะใช้คำพูดเกินเลยกว่าการที่จะแนะนำ ช่างสรรหาคำพูดที่รุนแรงและหยาบคายด้วยการตั้งฉายาให้กับนายกฯ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกว่าการกระทำของคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ ออกมาตั้งฉายานั้นมันสวนทางกับที่พรรคประชาธิปัตย์พร่ำบอกว่าจะทำการเมือง กันแบบสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำมันเป็นการทำลายมากกว่า การทำลายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงมิติของความเป็นเพศแม่ แต่ทำลายและลดทอนเกียรติภูมิของความเป็นส.ส.ที่มาจากพรรคการเมืองที่มีอายุ ยาวนานเก่าแก่เป็นสถาบันอันดับต้นๆของประเทศ การกระทำแบบนี้ตนเชื่อมั่นว่าเป็นการกระทำส่วนตัวของส.ส.คนนั้น จึงอยากให้ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาปกป้องเกียรติภูมิพรรคตัวเอง ว่าควรหรือไม่ควรทำอย่างไร ขอให้ประชาธิปัตย์กลับไปทำงานแบบสร้างสรรค์และแข่งขันในวิถีทางประชาธิปไตย
ทั้งนี้ การที่นายกฯพูดผิดเพียงเล็กๆน้อยๆแต่กลับมาเอาเป็นเอาตายด้วยการขอให้นายกฯ ขอโทษ จึงเป็นเรื่องเกินไป ดังนั้นคำพูดที่หยาบคงไม่ให้ส.ส.คนที่พูดต้องออกมาขอโทษเพราะประชาชนจะ ตัดสินใจเอง นายกฯไม่ใช่นักพูดหรือนักปาฐกถา แต่เป็นคนทำงาน พยายามทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ถ้าทุกคนของรัฐบาลชุดที่แล้วทุ่มเททำงานแก้ไขปัญหาเพียงครึ่งหนึ่งของที่ ท่านทุ่มเทจับผิด บ้านเมืองเราอาจจะมีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดูหมิ่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ไร้มารยาทอย่างรุนแรงว่าเป็นการพูดไม่ให้เกียรติผู้นำประเทศ ซึ่งเป็นสุภาพสตรี และเป็นการวิจารณ์ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่นายกรัฐมนตรี คงไม่เอาเรื่องไปถึงขั้นฟ้องร้อง ทั้งที่สามารถกระทำได้
“พฤติกรรมของนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.ประชาธิปัตย์ มันได้ส่อให้เห็นถึงสาแหรกของคน ที่ได้รับการอบรมพร่ำสอนจากบุพการีที่แตกต่างกัน สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล และคงไม่เรียกร้องให้ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ออกมารับผิดชอบ เพราะที่สุดผู้นำพรรคนั้นอาจจะพอใจในสิ่งนี้มากๆก็ได้ และอาจเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของพรรค ที่นายอภิสิทธิ์ ต้องการให้เป็นพรรคการเมืองในใจของประชาชนด้วยซ้ำไป และจากการที่ไปสัมมนาหาสาเหตุของการพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูปที่ จ.พิษณุโลกนั้น ก็คงไม่ได้อะไร เสียเงินเปล่า” นายอนุสรณ์ กล่าว
นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตอนนี้มีความพยายามในการทำลายความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีอย่างจริงจัง และพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในทุกเรื่อง แม้กระทั่งส.ส.ฝ่ายค้านก็พยายามที่จะใช้คำพูดเกินเลยกว่าการที่จะแนะนำ ช่างสรรหาคำพูดที่รุนแรงและหยาบคายด้วยการตั้งฉายาให้กับนายกฯ ในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งรู้สึกว่าการกระทำของคนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ ออกมาตั้งฉายานั้นมันสวนทางกับที่พรรคประชาธิปัตย์พร่ำบอกว่าจะทำการเมือง กันแบบสร้างสรรค์ แต่สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์ทำมันเป็นการทำลายมากกว่า การทำลายครั้งนี้ไม่ใช่แค่เพียงมิติของความเป็นเพศแม่ แต่ทำลายและลดทอนเกียรติภูมิของความเป็นส.ส.ที่มาจากพรรคการเมืองที่มีอายุ ยาวนานเก่าแก่เป็นสถาบันอันดับต้นๆของประเทศ การกระทำแบบนี้ตนเชื่อมั่นว่าเป็นการกระทำส่วนตัวของส.ส.คนนั้น จึงอยากให้ผู้ใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ออกมาปกป้องเกียรติภูมิพรรคตัวเอง ว่าควรหรือไม่ควรทำอย่างไร ขอให้ประชาธิปัตย์กลับไปทำงานแบบสร้างสรรค์และแข่งขันในวิถีทางประชาธิปไตย
ทั้งนี้ การที่นายกฯพูดผิดเพียงเล็กๆน้อยๆแต่กลับมาเอาเป็นเอาตายด้วยการขอให้นายกฯ ขอโทษ จึงเป็นเรื่องเกินไป ดังนั้นคำพูดที่หยาบคงไม่ให้ส.ส.คนที่พูดต้องออกมาขอโทษเพราะประชาชนจะ ตัดสินใจเอง นายกฯไม่ใช่นักพูดหรือนักปาฐกถา แต่เป็นคนทำงาน พยายามทุ่มเทให้กับการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา ถ้าทุกคนของรัฐบาลชุดที่แล้วทุ่มเททำงานแก้ไขปัญหาเพียงครึ่งหนึ่งของที่ ท่านทุ่มเทจับผิด บ้านเมืองเราอาจจะมีแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนขนาดนี้
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การดูหมิ่น น.ส.ยิ่งลักษณ์ไร้มารยาทอย่างรุนแรงว่าเป็นการพูดไม่ให้เกียรติผู้นำประเทศ ซึ่งเป็นสุภาพสตรี และเป็นการวิจารณ์ที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ แต่นายกรัฐมนตรี คงไม่เอาเรื่องไปถึงขั้นฟ้องร้อง ทั้งที่สามารถกระทำได้
“พฤติกรรมของนายวัชระ เพชรทอง ส.ส.ประชาธิปัตย์ มันได้ส่อให้เห็นถึงสาแหรกของคน ที่ได้รับการอบรมพร่ำสอนจากบุพการีที่แตกต่างกัน สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล และคงไม่เรียกร้องให้ผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ออกมารับผิดชอบ เพราะที่สุดผู้นำพรรคนั้นอาจจะพอใจในสิ่งนี้มากๆก็ได้ และอาจเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ของพรรค ที่นายอภิสิทธิ์ ต้องการให้เป็นพรรคการเมืองในใจของประชาชนด้วยซ้ำไป และจากการที่ไปสัมมนาหาสาเหตุของการพ่ายแพ้การเลือกตั้งอย่างหมดรูปที่ จ.พิษณุโลกนั้น ก็คงไม่ได้อะไร เสียเงินเปล่า” นายอนุสรณ์ กล่าว