ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ตำรวจภูเก็ตรวบผู้ต้องหาพร้อมกัญชาอัดแท่ง 400 กิโลกรัม มูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท ระบุเป็นการจับกุมยาเสพติดล็อตใหญ่ในรอบหลายปี
วานนี้ (22 ก.ย.) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต พร้อมด้วย พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต (ผบก.)พร้อม พ.ต.อ.กฤตภาส เดชอินทรศร ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรฉลอง(ผกก.สภ.ฉลอง) และเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรฉลอง(สภ.ฉลอง) อ.เมือง จ.ภูเก็ต ร่วมกันแถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด คือ นายสมพงษ์ หรือเพชร ถำอุทก อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96/2 หมู่ 4 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พร้อมของกลางกัญชาแห้งอัดแท่งจำนวน 400 แท่งน้ำหนัก 400 กิโลกรัม โดยแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 5 (กัญชา) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย
สำหรับการจับกุมในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนสภ.ฉลองได้รับแจ้งจากสายลับว่าในพื้นที่ราไวย์มีผู้ลักลอบจำหน่ายกัญชารายใหญ่ และจะมีการลักลอบนำเข้ามาล็อตใหญ่ เจ้าหน้าที่จึงวางแผนจับกุมโดยเฝ้าติดตามสืบสวนมาแล้วประมาณ 2 เดือน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 21 ก.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายสมพงษ์ ได้พร้อมกัญชาจำนวนหนึ่งที่ถนนบริเวณห้าแยกฉลอง ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต จึงได้ทำการสอบสวนและนำตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักเลขที่ 24/5 หมู่ 1 ต.ราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต พบของกลางกัญชาซุกซ่อนอยู่ที่ใต้บันใดห้องใต้ดินจำนวน 400 แท่ง น้ำหนัก 400 กิโลกรัม จึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี
พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับการจับกับกัญชาในครั้งนี้ถือว่าเป็นรายใหญ่มีปริมาณมากที่สุดในรอบหลายปีของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งยาเสพติดประเภทกัญชาไม่ใช่ยาเสพติดที่มีการแพร่ระบาดในพื้นที่ ส่วนใหญ่ยาเสพติดที่แพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นยาประเภทยาบ้า และยาไอซ์ ซึ่งเรื่องนี้ เจ้าหน้าที่จะต้องเร่งสอบสวนขยายผลต่อไป ถึงขั้นตอนการนำเข้า รวมถึงการติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่ยังหลบหนีอยู่อีกประมาณ 3 คน และเชื่อว่ากัญชาล็อตนี้น่าจะใช้ภูเก็ตเป็นที่พักยาก่อนที่จะส่งไปขายที่อื่นมากกว่า สำหรับมูลค่าของกัญชาล็อตนี้ถ้าหากแบ่งขายจะมีมูลค่าเกือบ 20 ล้านบาท
ขณะที่ นายตรี อัครเดชา ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เรื่องของยาเสพติดถือเป็นปัญหาสำคัญในส่วนของจังหวัดภูเก็ตจะต้องดำเนินการปราบปรามให้เห็นผลภายใน 3-6 เดือน ซึ่งการดำเนินการจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการดำเนินการปราบปราม และจะต้องมีการระดมกำลังกวาดล้างอย่างต่อเนื่อง