ASTVผู้จัดการรายวัน - นายก TEA แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัว เน้น 3 ประเด็น รับศึกเออีซี ระบุ งานเทรดประเทศไทย ควรเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ เพิ่มยอดซื้อขายเป็น 25% ของการเจรจา
นายประวิชย์ ศรีบัณฑิตมงคล นายกสมาคมการแสดงสินค้า(ไทย) หรือ TEA เปิดเผยว่า ต้องการให้ผู้ประกอบการและบุคคลากรในอุตสาหกรรมประชุมและนิทรรศการ เร่งปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันภายหลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 โดยมี 3 ประเด็นหลักคือ 1.พัฒนามาตรฐานการให้บริการ 2.พัฒนาขีดความสามารถการทำตลาดเชิงรุก และ3.พัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคคลากร
”ไทยยังมีเวลาพอที่จะเร่งพัฒนาตัวเอง ทั้งการตั้งรับและเชิงรุก เช่นการคิดงานเอ็กซิบิชั่นใหม่ๆขึ้นมา สร้างโอกาสให้เกิดขึ้นได้ในเวทีอาเซียน หากไม่รีบดำเนินการ อาจเสียเปรียบ โดยเฉพาะทีมผู้จัดงานจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบัน เข้ามาจัดงานเอ็กซิบิชั่นใหญ่ๆ ในประเทศไทยหลายงาน”
ในส่วนของความสามารถทำการตลาดเชิงรุก ควรมีหน่วยงานคอยให้คำแนะนำผู้ประกอบการที่สนใจไปลงทุนในต่างประเทศ ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ไม่รู้ว่า จะต้องไปติดต่อหน่วยงานไหนของประเทศในอาเซียน ไม่รู้ว่ามีภาษีอะไรบ้างเกี่ยวข้อง ต่างจากผู้ประกอบการภายนอกประเทศ ที่รู้ข้อมูลไทยดีทุกอย่าง โดยเฉพาะสิงคโปร์ จุดอ่อนของคนไทย คือยังขาดงานคิดสร้างสรรค์งานใหม่ โดยต้องมองให้ขาดว่า อุตสาหกรรมใด ที่สามารถนำมาจัดเป็งานแสดงสินค้าได้
นอกจากนั้น ยังควรปรับรูปแบบการจัดงาน เพื่อให้เกิดการซื้อขายจริงในงานแสดงสินค้าให้มากขึ้น อย่าเน้นเพียงจำนวนผู้เข้าชมงาน หรือ จำนวนการนัดเจรจาธุรกิจ เพราะการจัดงานในยุโรปจะเกิดการซื้อขายจริงภายในงาน กว่า 50% ของการเจรจา ขณะที่ประเทศไทย ยังเกิดการซื้อขายจริง 10-15% เท่านั้น ควรเพิ่มเป็น 25% ของการเจรจา โดยเน้นเชิญผู้ซื้อผู้ขายที่มีศักยภาพ เพิ่มเวลาในการเจรจา ไม่เน้นปริมาณ
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เตรียมดำเนินงาน 3 เรื่องเร่งด่วน คือ การจัดสัมมนาเพิ่มความรู้ให้บุคคลากร, จัดกิจกรรมให้ความรู้สมาชิกเรื่องการใช้ระบบออนไลน์ และการอบรมให้สมาชิกรู้จักวิธีการใช้เว็บไซต์ของสมาคมเพื่อเชื่อมโยงออกสู่ตลาดโลก และการตลาดในประเทศ
นายประวิชย์ ศรีบัณฑิตมงคล นายกสมาคมการแสดงสินค้า(ไทย) หรือ TEA เปิดเผยว่า ต้องการให้ผู้ประกอบการและบุคคลากรในอุตสาหกรรมประชุมและนิทรรศการ เร่งปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันภายหลังเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 โดยมี 3 ประเด็นหลักคือ 1.พัฒนามาตรฐานการให้บริการ 2.พัฒนาขีดความสามารถการทำตลาดเชิงรุก และ3.พัฒนาด้านการศึกษา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคคลากร
”ไทยยังมีเวลาพอที่จะเร่งพัฒนาตัวเอง ทั้งการตั้งรับและเชิงรุก เช่นการคิดงานเอ็กซิบิชั่นใหม่ๆขึ้นมา สร้างโอกาสให้เกิดขึ้นได้ในเวทีอาเซียน หากไม่รีบดำเนินการ อาจเสียเปรียบ โดยเฉพาะทีมผู้จัดงานจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบัน เข้ามาจัดงานเอ็กซิบิชั่นใหญ่ๆ ในประเทศไทยหลายงาน”
ในส่วนของความสามารถทำการตลาดเชิงรุก ควรมีหน่วยงานคอยให้คำแนะนำผู้ประกอบการที่สนใจไปลงทุนในต่างประเทศ ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ ไม่รู้ว่า จะต้องไปติดต่อหน่วยงานไหนของประเทศในอาเซียน ไม่รู้ว่ามีภาษีอะไรบ้างเกี่ยวข้อง ต่างจากผู้ประกอบการภายนอกประเทศ ที่รู้ข้อมูลไทยดีทุกอย่าง โดยเฉพาะสิงคโปร์ จุดอ่อนของคนไทย คือยังขาดงานคิดสร้างสรรค์งานใหม่ โดยต้องมองให้ขาดว่า อุตสาหกรรมใด ที่สามารถนำมาจัดเป็งานแสดงสินค้าได้
นอกจากนั้น ยังควรปรับรูปแบบการจัดงาน เพื่อให้เกิดการซื้อขายจริงในงานแสดงสินค้าให้มากขึ้น อย่าเน้นเพียงจำนวนผู้เข้าชมงาน หรือ จำนวนการนัดเจรจาธุรกิจ เพราะการจัดงานในยุโรปจะเกิดการซื้อขายจริงภายในงาน กว่า 50% ของการเจรจา ขณะที่ประเทศไทย ยังเกิดการซื้อขายจริง 10-15% เท่านั้น ควรเพิ่มเป็น 25% ของการเจรจา โดยเน้นเชิญผู้ซื้อผู้ขายที่มีศักยภาพ เพิ่มเวลาในการเจรจา ไม่เน้นปริมาณ
อย่างไรก็ตาม สมาคมฯ เตรียมดำเนินงาน 3 เรื่องเร่งด่วน คือ การจัดสัมมนาเพิ่มความรู้ให้บุคคลากร, จัดกิจกรรมให้ความรู้สมาชิกเรื่องการใช้ระบบออนไลน์ และการอบรมให้สมาชิกรู้จักวิธีการใช้เว็บไซต์ของสมาคมเพื่อเชื่อมโยงออกสู่ตลาดโลก และการตลาดในประเทศ