ASTVผู้จัดการรายวัน – เฮเฟเล่เชื่อมั่นประเทศไทย มองครึ่งปีหลังยิ่งสดใส เทร่วม 1,000 ล้านบาท ลงทุนต่อเนื่อง รุกหนักกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า พร้อมลุยในช่องทางโมเดิร์นเทรดมากขึ้น หลังพบอสังหาริมทรัพย์บูม คนไทยนิยมตกแต่งบ้าน มั่นใจสิ้นปีรายได้รวมโตไม่ต่ำกว่า 20% แตะ2,400 ล้านบาท
นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ศักยภาพประเทศไทยในปีนี้ ถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมามาก โดยเฉพาะภายหลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง เชื่อว่าในครึ่งปีหลังนี้สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทยจะดียิ่งขึ้น บวกกับธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ทางบริษัทจึงมีความมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วในปีนี้มีการลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท
“หลังการเลือกตั้ง การเมืองไทยจะสเถียรมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลให้ครึ่งปีหลังนี้ดีกว่าครึ่งปีแรกค่อนข้างมาก นักลงทุนพร้อมจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่เฮเฟเล่ ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจ เสริมสิ่งใหม่ๆเข้ามา เพื่อตอบรับโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น”
ทั้งนี้มองว่าในกลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ จะส่งผลต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ด้านการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของทางเฮเฟเล่
โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เช่น กลุ่มเตาและเครื่องดูดควัน ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด เมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่ทางบริษัทเข้ามารุกได้ 4 ปี ปัจจุบันมีวางจำหน่ายอยู่ 3 แบรนด์ คือ เฮเฟเล่, Gorenjeจับกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง และ Viking จับกลุ่มเป้าหมายระดับบน ปีนี้จะเข้ามารุกในช่องทางโมเดิร์นเทรดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงและเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างยิ่งขึ้น จากเดิมจะเน้นในกลุ่มโครงการเป็นหลัก คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีรายได้สูงถึง 240 ล้านบาท เติบโต 30%
นายโฟลเคอร์ กล่าวต่อว่า งบลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของงบการตลาดรวมที่ปีนี้ใช้ถึง 100 ล้านบาท งบการเพิ่มคลังสินค้า และงบการปรับโฉมและเพิ่มโชว์รูม ล่าสุดได้ปรับโฉมโชว์รูมที่หัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากพบว่าอสังหาริมทรัพย์ดีค่อนข้างโต ส่วนสำคัญมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยว เชื่อว่าจากการปรับโฉมโชว์รูมครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มยอดขายอีก 20% หรือในปีแรกมั่นใจว่าจะมีรายได้กว่า 48 ล้านบาท
นายโฟลเคอร์ เฮลสเติร์น กรรมการผู้จัดการ บริษัท เฮเฟเล่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ศักยภาพประเทศไทยในปีนี้ ถือว่าดีกว่าปีที่ผ่านมามาก โดยเฉพาะภายหลังจากการเลือกตั้งสิ้นสุดลง เชื่อว่าในครึ่งปีหลังนี้สถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของประเทศไทยจะดียิ่งขึ้น บวกกับธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ทางบริษัทจึงมีความมั่นใจที่จะลงทุนในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง รวมแล้วในปีนี้มีการลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท
“หลังการเลือกตั้ง การเมืองไทยจะสเถียรมากยิ่งขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลให้ครึ่งปีหลังนี้ดีกว่าครึ่งปีแรกค่อนข้างมาก นักลงทุนพร้อมจะเข้ามาลงทุนมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่มีผลทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่เฮเฟเล่ ดังนั้นเราจึงพร้อมที่จะพัฒนาธุรกิจ เสริมสิ่งใหม่ๆเข้ามา เพื่อตอบรับโอกาสที่กำลังเกิดขึ้น”
ทั้งนี้มองว่าในกลุ่มโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ จะส่งผลต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นทั้งในด้านของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ด้านการก่อสร้าง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว และเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจหลักของทางเฮเฟเล่
โดยเฉพาะในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า อาทิ เช่น กลุ่มเตาและเครื่องดูดควัน ถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด เมื่อเทียบกับกลุ่มสินค้าอื่นๆ เนื่องจากเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่ทางบริษัทเข้ามารุกได้ 4 ปี ปัจจุบันมีวางจำหน่ายอยู่ 3 แบรนด์ คือ เฮเฟเล่, Gorenjeจับกลุ่มเป้าหมายระดับกลาง และ Viking จับกลุ่มเป้าหมายระดับบน ปีนี้จะเข้ามารุกในช่องทางโมเดิร์นเทรดมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าโดยตรงและเป็นการขยายฐานลูกค้าให้กว้างยิ่งขึ้น จากเดิมจะเน้นในกลุ่มโครงการเป็นหลัก คาดว่าในสิ้นปีนี้จะมีรายได้สูงถึง 240 ล้านบาท เติบโต 30%
นายโฟลเคอร์ กล่าวต่อว่า งบลงทุนรวมกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นการลงทุนต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของงบการตลาดรวมที่ปีนี้ใช้ถึง 100 ล้านบาท งบการเพิ่มคลังสินค้า และงบการปรับโฉมและเพิ่มโชว์รูม ล่าสุดได้ปรับโฉมโชว์รูมที่หัวหิน จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากพบว่าอสังหาริมทรัพย์ดีค่อนข้างโต ส่วนสำคัญมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยว เชื่อว่าจากการปรับโฉมโชว์รูมครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มยอดขายอีก 20% หรือในปีแรกมั่นใจว่าจะมีรายได้กว่า 48 ล้านบาท