xs
xsm
sm
md
lg

'ฟอร์บส์'ระบุ'ธนินท์'รวยสุดในไทย 'ทักษิณ'อยู่อันดับ19มั่งคั่งยิ่งขึ้น53%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการ –นิตยสารฟอร์บส์เผยแพร่รายงานการจัดอันดับ “40 มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย” ประจำปีนี้เมื่อคืนวันอังคาร(30ส.ค.) โดยที่เจ้าสัว “ธนินท์ เจียรวนนท์” ยังคงเป็นอันดับ1 ด้วยมูลค่าทรัพย์สินที่มีอยู่ 7,400 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 222,000 ล้านบาท) ติดตามด้วย “เฉลียว อยู่วิทยา” ที่ยังอยู่อันดับ 2 มีทรัพย์สิน5,000 ล้านดอลลาร์ (150,000ล้านบาท) เช่นเดียวกับอันดับ3 ก็หน้าเดิมคือ “เจริญ สิริวัฒนภักดี” 4,800 ล้านดอลลาร์ (144,000ล้านบาท) สำหรับ “ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว” ปีนี้อยู่อันดับ 19 ดีขึ้นจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 23 และความมั่งคั่งร่ำรวยก็เพิ่มพูนขึ้นถึง 53% โดยอยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์ (18,000ล้านบาท) จาก 390 ล้านดอลลาร์ในปี 2010

รายงานของฟอร์บบอกว่า ถึงแม้ในปีที่แล้วประเทศไทยยังคงมีความตึงเครียดทางการเมืองแฝงฝังอยู่ ทว่าสถานการณ์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะที่ค่อนข้างสงบ หากเทียบกับความรุนแรงในช่วงปีก่อนหน้านั้น และสภาพเช่นนี้ได้ช่วยทำให้ตลาดหุ้นตลอดจนเศรษฐกิจของไทยเติบโตขยายตัว โดยที่ดัชนีหุ้น SET 50 ไต่ขึ้นสู่ระดับที่ไม่เคยพบเห็นกันในระยะ 15 ปีที่ผ่านมา และบวกขึ้นไป 21.7% ในช่วงปี 2010 ขณะที่ค่าเงินบาทในระยะเดียวกันแข็งขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์

ทางด้านบรรดามหาเศรษฐีผู้ประกอบการของไทย ต่างก็พากันเติบใหญ่ตามกระแสคลื่นอันเอื้ออำนวยเช่นนี้ โดยที่ทรัพย์สินความมั่นคั่งโดยรวมของ 40 มหาเศรษฐีร่ำรวยที่สุดในปีนี้ สูงขึ้นกว่าของปีที่แล้ว 25% ไปอยู่ในระดับ 45,000 ล้านดอลลาร์ (1.35ล้านล้านบาท) ขณะที่มหาเศรษฐีที่ติดอันดับรายชื่อในปีนี้ ประมาณ 3 ใน 4 ทีเดียวต่างก็มั่งคั่งมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น

ฟอร์บส์ระบุว่า ผู้ที่ร่ำรวยขึ้นมามากที่สุดคือ น.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ (อยู่อันดับ 17 มีทรัพย์สิน620ล้านดอลลาร์) โดยมั่งคั่งเพิ่มขึ้นถึง 138% สืบเนื่องจากสายการบินบางกอกแอร์เวย์ของเขามีอัตราผลกำไรอันงดงงาม ขณะที่ราคาหุ้นบริษัทกรุงเทพดุสิตเวชการ (มหาชน) ก็ทะยานขึ้นสูงลิ่ว ทั้งนี้ น.พ.ปราเสริฐ เป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มกิจการโรงพยาบาลที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วกลุ่มนี้ ร่วมกับ น.พ.พงษ์ศักดิ์ วิทยากร (อยู่อันดับ28 ทรัพย์สิน 310 ล้านดอลลาร์) ซึ่งก็มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นมาถึง 121% กลายเป็นบุคคลผู้ร่ำรวยเพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในบรรดาผู้ที่ติดอันดับรายชื่อ 40 มหาเศรษฐีปีนี้

สำหรับอันดับ 1 ถึง 5 ในปีนี้ ยังคงเป็นคนหน้าเดิมของปีที่แล้วทว่าต่างมีทรัพย์สินเพิ่มสูงขึ้น กล่าวคือ นายธนินท์ เจ้าสัวซีพีกรุ๊ป มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเป็น 7,400 ล้านดอลลาร์ จาก 7,000 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว ส่วนนายเฉลียว เจ้าของกิจการเครื่องดื่มกระทิงแดง และ “เรดบูล” ปีนี้มีทรัพย์สิน 5,000 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ 4,200 ล้านดอลลาร์ อันดับ 3 นายเจริญ เจ้าสัว “เบียร์ช้าง” และกิจการอสังหาริมทรัพย์ ทีซีซีแลนด์ ฟอร์บบอกว่าปีนี้ร่ำรวย 4,800 ล้านดอลลาร์ จาก 4,150 ล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว อันดับ 4 ตระกูลจิราธิวัฒน์ แห่งเครือเซ็นทรัล ปีนี้มีทรัพย์สิน 4,300 ล้านดอลลาร์ สูงขึ้นมากจากปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 2,900 ล้านดอลลาร์ ส่วนอันดับ 5 นายกฤตย์ รัตนรักษ์ และครอบครัว ซึ่งมีกิจการสำคัญคือหุ้นในบริษัทผู้ดำเนินการทีวีสีช่อง 7 ปีนี้ร่ำรวย 2,500 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ปีที่แล้วอยู่ที่ 1,700 ล้านดอลลาร์

สำหรับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัว ซึ่งฟอร์บส์บอกว่าเป็นผู้ที่ถูกจับจ้องอย่างใกล้ชิดที่สุดในบรรดารายชื่อ 40 มหาเศรษฐีไทย ปีนี้อยู่อันดับ 19 มีทรัพย์สิน 600 ล้านดอลลาร์ ดีขึ้น 53% จากปีที่แล้วซึ่งอยู่อันดับ 23 มีความมั่งคั่ง 390 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้สืบเนื่องจากการแตกหุ้นและการที่ราคาหุ้นของบริษัทเอสซี แอสเสท สูงขึ้นถึงเท่าตัว ฟอร์บบอกด้วยว่า “หลังจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ น้องสาวของเขา(พ.ต.ท.ทักษิณ) ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลังก็ยอมรับว่าจะไม่ยื่นอุทธรณ์คำตัดสินเรื่องภาษี ซึ่งจะทำให้มีการปล่อยเงินจำนวน 40 ล้านดอลลาร์จากทรัพย์สินของลูกๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ถูกทางการอายัดไว้ ทั้งนี้ฟอร์บยังไม่ได้นับเงินก้อนนี้รวมเข้าไปในมูลค่าทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ”

นิตยสารชื่อดังฉบับนี้ระบุว่า ปีนี้มีคนหน้าใหม่ที่เข้ามาอยู่ในบัญชีนี้รวม 2 คน ซึ่งต่างก็เป็น “นกฟีนิกซ์” ที่สามารถบินผงาดขึ้นมาอีกครั้งจากกองเถ้าถ่านภายหลังที่ประสบความเสียหายย่อยยับในช่วงวิกฤตการเงินเอเชียปี 1997 ได้แก่ นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และนายพิชญ์ โพธารามิก โดยที่นายประชัยนั้น เนื่องจากส่วนที่ยังเหลืออยู่ในอาณาจักรทีพีไอของเขา นั่นคือ บริษัททีพีไอ โพลีน มีราคาหุ้นขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีเมื่อเดือนสิงหาคม ทำให้เขาติดอยู่ในอันดับ 29 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 300 ล้านดอลลาร์ ขณะที่นายพิชญ์ ก็สามารถฟื้นกิจการบริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จนราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่าตัวในระยะ 15 เดือนที่ผ่านมา และทำให้เขาติดอันดับ 34 ด้วยมูลค่าทรัพย์สิน 245 ล้านดอลลาร์

สำหรับมหาเศรษฐีในรายชื่อที่ปีนี้มีทรัพย์สินลดต่ำลง ฟอร์บบอกว่ามี 3 ราย ได้แก่ นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ แห่ง พฤกษา เรียลเอสเตท (อันดับ11 ทรัพย์สิน 1,000 ล้านดอลลาร์) ความมั่งคั่งของเขาได้ลดลงมา 13% เนื่องจากราคาหุ้นบริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท ลดฮวบลงมาสืบเนื่องจากความวิตกเรื่องภาวะเงินเฟ้อจะส่งผลกระทบต่อผู้ซื้อบ้าน นอกจากนั้น ความมั่งคั่งของนายวิทย์ วิริยะประไพกิจ (อันดับ 25 ทรัพย์สิน 380 ล้านดอลลาร์) ก็ต่ำลงมา 5% เมื่อหุ้นสหวิริยาสตีลอินดัสทรีของเขาได้รับผลกระทบจากยอดกำไรในไตรมาส 2 ที่ติดลบ เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายในการเข้าปรับปรุงโรงงานในอังกฤษซึ่งเพิ่งเข้าไปซื้อไว้เมื่อเร็วๆ นี้ ส่วนนายคีรี กาญจนพาสน์ (อันดับ 16 ทรัพย์สิน 625 ล้านดอลลาร์) เจ้าพ่อรถไฟลอยฟ้าบีทีเอส ก็มีความร่ำรวยลดลง 3% เมื่อราคาหุ้นบีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ของเขาตกลงมา สืบเนื่องจากผลประกอบการย่ำแย่ในกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์

ในปีนี้ผู้ที่จะได้ติดอันดับ 40 มหาเศรษฐีไทย จะต้องมีทรัพย์สินอย่างต่ำที่สุด 190 ล้านดอลลาร์ (เปรียบเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งต่ำสุดอยู่ที่ 140 ล้านดอลลาร์) จึงเป็นเหตุให้ผู้ที่เคยติดอันดับในปีที่แล้วต้องมีอันหลุดไปในปีนี้รวม 3 คน ได้แก่ นายเพชร และนายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ซึ่งความมั่งคั่งของพวกเขาจากการถือหุ้นในเครือโอสถสภา ยังไม่มากพอที่จะทำให้พวกเขาสองพี่น้องติดอันดับ (แต่นายนิธิ โอสถานุเคราะห์ ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาซึ่งก็เป็นเจ้าของหุ้นส่วนหนึ่งในเครือโอสถสภาเช่นกัน ยังคงติดอันดับ 32 ทรัพย์สิน 255 ล้านดอลลาร์ เนื่องจากมีการลงทุนในด้านอื่นๆ ด้วย) ส่วนอีกคนหนึ่งคือ นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ แห่งบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ช. การช่าง
กำลังโหลดความคิดเห็น