00 ได้ยินคำแก้ตัวของ สมชัย จึงประเสริฐ 1 ใน 4 กกต.ที่ปล่อย “ จตุพร พรหมพันธุ์” เข้าสภาว่า สรุปสาเหตุสำคัญเป็นเพราะไม่อยากฝืนฉันทามติของประชาชนที่เลือกเข้ามาเป็นผู้แทนฯ และอ้างว่ากรณีดังกล่าวไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทุจริตเลือกตั้ง แต่เกี่ยวข้องกับเรื่องคุณสมบัติอันเนื่องมาจากการไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น และยังอ้างอีกว่าโดยส่วนตัวก็ยังเห็นว่า “ขาดคุณสมบัติ” แต่กลับลงมติให้ผ่าน ทุด !!
00 หากย้อนกลับไปพิจารณาวันที่ กกต.ลงมติ สถานะของ จตุพร เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมาถือว่าเป็นการ “ปัดภาระ” รับผิดชอบแล้วโยนไปให้ ศาลรธน.ตัดสิน แล้วอย่างนี้เราจะมี กกต.เอาไว้ทำไม เพราะระบุเองว่ากรณีนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวกับคุณสมบัติเพียวๆ เมื่อทุกอย่างชัดเจนตามกฎหมายก็น่าจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่ต้น ทำถึงต้อง “ประวิงเวลา” มาจนถึงวันท้ายๆ เพราะในเมื่อมั่นใจว่าทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 8 และ 92 ทำไมไม่ชู “ใบแดง” เลยละ ทำไมต้องยื้อแล้วอ้างข้อจำกัดเรื่องกรอบเวลาแล้วปล่อย “ผีเข้าป่าช้า”
00 แต่ถึงอย่างไรใช่ว่า กกต.กลุ่มนี้จะพ้นจากการเสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางไปได้ เพราะมีคนไปร้องเรียน ฟ้องศาลเอาไว้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ยังมีอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะการเพิกถอนสิทธิ์ของผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตเมื่อ 50 จำนวน 2 ล้านคน ซึ่งมีการร้องศาลอาญาไว้แล้ว การที่ สดศรี สัตยธรรม บอกว่าเชิญฟ้องกันตามสบาย แต่ไม่ผิดก็จะฟ้องกลับนั้น ก็ให้รอดูก็แล้วกัน
00 หลังจากโปรดเกล้าฯ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เจริญ จรรย์โกมล รองคนที่ 1 และ วิสุทธิ์ ไชยอรุณ รองคนที่ 2 ขั้นตอนต่อไปก็จะเรียกประชุมสภาผู้แทนฯเลือก นายกรัฐมนตรี ซึ่งแน่นอนแล้วว่าจะต้องเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการกำหนดวันนัดคือวันที่ 5 ส.ค. และขั้นตอนหลังจากนี้เมื่อได้ตัวนายกฯอย่างเป็นทางการแล้วการฟอร์มครม.ก็น่าจะเดินไปได้เร็ว
00 แต่ก็แปลกใจกับคำพูดของ ว่าที่นายกฯหญิง ที่บอกว่าการฟอร์มรมต.คืบหน้าไปแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็ได้แต่หวังว่าเป็นการพูดหลอกเล่นเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงถือว่าเป็นปัญหาแน่ เพราะด้วยเงื่อนไขทุกอย่างปลอดโปร่ง ทั้งเสียงส.ส.ของพรรคเพื่อไทยที่เกินครึ่ง ไร้แรงต่อรองจากพรรคร่วมฯ อาจจะสะดุดบ้างช่วงที่ กกต.ยังไม่รับรอง แต่ทุกอย่างสามารถทำควบคู่กันไปได้ เวลาผ่านมาเป็นเดือน แต่หาคนมาเป็น รมต.ได้เพียงแค่ครึ่งเดียว มันก็สะท้อนปัญหาการ “บริหารจัดการ” ตั้งแต่เริ่มต้นเลยหรือ
00 อย่างไรก็ดีเท่าที่ประเมินดูก็พอเห็นร่องรอยค่อนข้างชัดเจนว่า เริ่มมีเสียงต้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา มาเป็น รมว.กลาโหมดังขึ้นเรื่อยๆ โดยอ้างว่ามาจาก ตท.10 เสียด้วย พูดกันแบบไม่เกรงใจเลยว่า “ไม่ได้เรื่อง” ไม่มีวิสัยทัศน์ หรือถ้าพูดตรงๆก็น่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “โง่” นั่นแหละ เมื่อดูจากความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนแบบนี้แล้วมันก็มีปัญหาจริงๆ เพราะที่สำคัญในช่วงเริ่มต้นต้องหาทาง “ปรองดอง” กับกองทัพเอาไว้ก่อน แต่ขณะเดียวกันมันก็หาคนที่ทุกฝ่ายยอมรับด้วย ซึ่งมันหายากเอาการ !!
00 หากย้อนกลับไปพิจารณาวันที่ กกต.ลงมติ สถานะของ จตุพร เมื่อวันที่ 2 ส.ค.ที่ผ่านมาถือว่าเป็นการ “ปัดภาระ” รับผิดชอบแล้วโยนไปให้ ศาลรธน.ตัดสิน แล้วอย่างนี้เราจะมี กกต.เอาไว้ทำไม เพราะระบุเองว่ากรณีนี้เป็นเรื่องเฉพาะที่เกี่ยวกับคุณสมบัติเพียวๆ เมื่อทุกอย่างชัดเจนตามกฎหมายก็น่าจะวินิจฉัยได้ตั้งแต่ต้น ทำถึงต้อง “ประวิงเวลา” มาจนถึงวันท้ายๆ เพราะในเมื่อมั่นใจว่าทำผิด พ.ร.บ.เลือกตั้งมาตรา 8 และ 92 ทำไมไม่ชู “ใบแดง” เลยละ ทำไมต้องยื้อแล้วอ้างข้อจำกัดเรื่องกรอบเวลาแล้วปล่อย “ผีเข้าป่าช้า”
00 แต่ถึงอย่างไรใช่ว่า กกต.กลุ่มนี้จะพ้นจากการเสี่ยงคุก เสี่ยงตะรางไปได้ เพราะมีคนไปร้องเรียน ฟ้องศาลเอาไว้แล้ว ไม่ใช่เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ยังมีอีกหลายเรื่อง โดยเฉพาะการเพิกถอนสิทธิ์ของผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตเมื่อ 50 จำนวน 2 ล้านคน ซึ่งมีการร้องศาลอาญาไว้แล้ว การที่ สดศรี สัตยธรรม บอกว่าเชิญฟ้องกันตามสบาย แต่ไม่ผิดก็จะฟ้องกลับนั้น ก็ให้รอดูก็แล้วกัน
00 หลังจากโปรดเกล้าฯ สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร เจริญ จรรย์โกมล รองคนที่ 1 และ วิสุทธิ์ ไชยอรุณ รองคนที่ 2 ขั้นตอนต่อไปก็จะเรียกประชุมสภาผู้แทนฯเลือก นายกรัฐมนตรี ซึ่งแน่นอนแล้วว่าจะต้องเป็น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการกำหนดวันนัดคือวันที่ 5 ส.ค. และขั้นตอนหลังจากนี้เมื่อได้ตัวนายกฯอย่างเป็นทางการแล้วการฟอร์มครม.ก็น่าจะเดินไปได้เร็ว
00 แต่ก็แปลกใจกับคำพูดของ ว่าที่นายกฯหญิง ที่บอกว่าการฟอร์มรมต.คืบหน้าไปแค่ 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ก็ได้แต่หวังว่าเป็นการพูดหลอกเล่นเท่านั้น เพราะถ้าเป็นเรื่องจริงถือว่าเป็นปัญหาแน่ เพราะด้วยเงื่อนไขทุกอย่างปลอดโปร่ง ทั้งเสียงส.ส.ของพรรคเพื่อไทยที่เกินครึ่ง ไร้แรงต่อรองจากพรรคร่วมฯ อาจจะสะดุดบ้างช่วงที่ กกต.ยังไม่รับรอง แต่ทุกอย่างสามารถทำควบคู่กันไปได้ เวลาผ่านมาเป็นเดือน แต่หาคนมาเป็น รมต.ได้เพียงแค่ครึ่งเดียว มันก็สะท้อนปัญหาการ “บริหารจัดการ” ตั้งแต่เริ่มต้นเลยหรือ
00 อย่างไรก็ดีเท่าที่ประเมินดูก็พอเห็นร่องรอยค่อนข้างชัดเจนว่า เริ่มมีเสียงต้าน พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา มาเป็น รมว.กลาโหมดังขึ้นเรื่อยๆ โดยอ้างว่ามาจาก ตท.10 เสียด้วย พูดกันแบบไม่เกรงใจเลยว่า “ไม่ได้เรื่อง” ไม่มีวิสัยทัศน์ หรือถ้าพูดตรงๆก็น่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่า “โง่” นั่นแหละ เมื่อดูจากความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนแบบนี้แล้วมันก็มีปัญหาจริงๆ เพราะที่สำคัญในช่วงเริ่มต้นต้องหาทาง “ปรองดอง” กับกองทัพเอาไว้ก่อน แต่ขณะเดียวกันมันก็หาคนที่ทุกฝ่ายยอมรับด้วย ซึ่งมันหายากเอาการ !!
