xs
xsm
sm
md
lg

กสิกรฯโชว์กลยุทธครึ่งปีหลัง สินเชื่อทะลุเป้า-โกยรายได้ค่าฟี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายกฤษฎา ล่ำซำ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2554 ว่า เครือกสิกรไทยมีนโยบายการปล่อยสินเชื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจไทย รวมทั้งให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลในการปล่อยสินเชื่อในแต่ละกลุ่ม และควบคุมคุณภาพหนี้ไปพร้อมๆกัน โดยในสินเชื่อรายใหญ่ตั้งเป้าโต 10% จากครึ่งปีแรกที่โต 6% เน้นสินเชื่อเพื่อการค้า อุตสาหกรรมที่ศักยภาพในการพัฒนาประเทศ อาทิ พลังงาน ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ เกษตรแปรรูป นำเข้า-ส่งออก เป็นต้น
สินเชื่อผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) จะเน้นเจาะเฉพาะกลุ่มที่มีปริมาณธุรกิจหนาแน่น ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้ดี อาทิ โรงแรม อพาร์ทเมนท์ ขนส่ง เป็นต้น และสินเชื่อบุคคล จะเน้นการให้บริการกับลูกค้าของผู้พัฒนาโครงอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และผู้พัฒนาโครงการที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง รวมถึงสินเชื่อรถช่วยได้ และสินเชื่อเงินทันใจ
"ในครึ่งปีหลังนี้จะเน้นการเติบโตอย่างมีคุณคุณภาพและยั่งยืน ซึ่งในขณะนี้ธนาคารยังไม่ได้มีการปรับเป้าสินเชื่อที่ตั้งไว้ 7-9% แม้ว่าในครึ่งปีแรกจะโตไปแล้ว 8% โดยครึ่งปีหลังก็คงจะโตต่อไป ซึ่งก็จะมอนิเตอร์ให้เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจ ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะโตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ แต่จะเป็นเลขสองหลักหรือไม่นั้น ก็ยังบอกไม่ได้"
ด้านเงินฝากและกองทุนนั้น ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างดี โดยมีลูกค้าใหม่เข้าถึง 1 ล้านราย ซึ่งถือว่ามากที่สุดในระบบ และการที่มีลูกค้าใหม่เข้ามาใช้บริการของธนาคารในด้านเงินฝากและกองทุนนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่จะเชื่อมโยงไปถึงการใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์อื่นของเครือต่อเนื่องไป ดังนั้นในครึ่งปีหลังจึงยังต้องเป้าที่จะรักษาอันดับ 1 นี้ไว้ที่ 1 ล้านราย
นอกจากนี้ ธนาคารจะเน้นการหายรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยที่คาดว่าจะโตได้ไม่ต่ำกว่า 20% โดยรายได้จากเบี้ยประกันเติบโต 50-55% รายได้จากเงินฝาก-การลงทุนเติบโต 10-15% Trad Finance-FX 15-20% และที่ปรึกษาทางการเงินเติบโต 20-25% เนื่องจากธนาคารเล็งเห็นว่า อัตราการเติบโตธุรกิจส่งออก-นำเข้ายังเติบโตได้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะช่วยหนุนรายได้จากธุรกิจ Trad Finance ได้ ขณะที่ธนาคารยังอยู่ระหว่างการเจรจาด้านการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอยู่อีก 25 ราย คิดเป็น วงเงินประมาณ 360,000 ล้านบาท เป็นรายได้ค่าฟีประมาณ 700 ล้าน ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีข้อสรุปอย่างไรหรือเมื่อใด
สำหรับปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจนั้น ปัจจัยภายในประเทศแม้จะได้รับผลดีจากนโยบายของรัฐบาล อาทิ การปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท ซึ่งจะเป็นการเพิ่มการบริโภค การรับจำนำข้าว ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่ดีขึ้น แต่ทางกลับกันก็จะส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยให้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ส่วนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นก็จะกดดันในด้านการพัฒนาศักยภาพของแรงงานไทย เพราะหากค่าแรงเพิ่มขึ้นในระดับดังกล่าวก็จะสูงกว่าเวียดนาม 5 เท่า ซึ่งอาจกระทบความสามารถในการแข่งขันด้วย
"อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น อาจทำให้กนง.ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมทั้ง 3 ครั้งที่เหลือปีนี้ก็เป็นได้ ก็ปลายปีนี้อาจจะได้เห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 4% เท่ากับอัตราเงินเฟ้อ"
ส่วนปัจจัยต่างประเทศยังคงต้องติดตามดูการแก้ปัญหาหนี้สาธารณะของประเทศต่างๆในแถบยุโรปว่าสามารถหาข้อสรุปและจะลุกลามต่อไปหรือไม่ รวมถึงกรณีของการเพิ่มเพดานหนี้สาธารณะของสหรัฐฯ ที่ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องรัดเข็มขัดกันมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลด้านการค้าต่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น