xs
xsm
sm
md
lg

เงินกับต้นทุนทางการเมืองของสังคมไทย

เผยแพร่:   โดย: ปราโมทย์ นาครทรรพ

ปราโมทย์ นาครทรรพ

“Money is the mother's milk of politics. เงินคือน้ำนมแม่ของการเมือง” (On campaign contributions ว่าด้วยเงินบริจาคหาเสียงเลือกตั้ง)

“If you can't eat their food, drink their booze, screw their women and then vote against them, you have no business being up here. ถ้าคุณกินอาหารของเขา ดื่มเหล้าของเขา นอนกับผู้หญิงของเขา แล้วไม่สามารถลงคะแนนคัดค้านเขาแล้ว คุณก็ไม่สมควรจะมาอยู่บนนี้” (On lobbyists ว่าด้วยล็อบบี้ยิสต์)

1. Jesse Marvin Unruh (September 30, 1922 - August 4, 1987), ประธานสภาผู้แทนรัฐแคลิฟอร์เนีย ดาวรุ่งพุ่งแรงแข่งกับอนาคตประธานาธิบดีเรแกน มีฉายาว่า Big Daddy Unruh เป็นผู้นำพรรคเดโมแครตระดับชาติของแคลิฟอร์เนีย ภายหลังเป็น California State Treasurer รัฐมนตรีคลังของรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นตำแหน่งเลือกตั้ง

ผู้นำในระบบราชการและการศึกษาไทยน่าจะนับร้อยเป็นศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนีย หรือ USC ที่มีทีมฟุตบอลโด่งดัง ชื่อ The Trojan มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มี John F Kennedy School of Government ที่เลื่องชื่อ The University of Southern California Department of Political Science ก็มี the Jesse M. Unruh Institute of Politics ที่ลือชาเหมือนกัน

ทั้งสองแห่งนี้หากใครอยากรู้เรื่องบทบาทของเงินในการเมืองอเมริกัน (Money in American Politics) ก็สามารถจะไปเรียนได้ถึงระดับปริญญาเอกและสูงขึ้นไปอีก (post doctoral) เนื้อหาของหลักสูตรก็คงจะไม่หนีกัน ที่ต่างกันก็คงจะเป็นบรรยากาศ ลวดลายของครู และคุณภาพของนักเรียน ท่านที่อยากรู้ก็ลองเปิด google ดู syllabus on Money in American Politics ก็คงจะรู้ว่าใครสอนอะไรอย่างไร

แม้ “เงิน” จะมีความสำคัญในการเมืองเหมือนกับ “น้ำนมแม่” แต่เงินก็เป็นเพียง 1 ในต้นทุนทางการเมือง (political capital) ซึ่งไม่มีใครรู้แน่ว่าคืออะไร และมีอะไรบ้าง อะไรสำคัญกว่ากัน รู้แต่ว่าเงินเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่บทบาทของเงิน และต้นทุนทางการเมืองของอเมริกันและไทยต่างกันอย่างไร ตอบได้ว่าต่างกันแน่ๆ และต่างมากเสียด้วย

ทุกวันนี้หรือนานมาแล้ว เมืองไทยเดินหน้าไปสู่ความล่มสลายเพราะการโกหกหลอกลวงและเอาเปรียบกันทั้งประเทศ ด้วยสิ่งที่ผมเรียกสั้นๆ ว่า การคอร์รัปชันอำนาจและคดโกงบ้านเมือง ซึ่งมีอุปกรณ์ 2 อย่าง คือกำลังทหารและระบบราชการกับเงิน

เนื่องจากเราเป็นประเทศทุนนิยมล้าหลัง นายทุนหรือผู้มีเงิน จึงจะมีโอกาสเป็นนาย ผู้ที่ยากจนหรือด้อยการศึกษาจึงต้องตะเกียกตะกายที่จะหาโอกาสเรียนสูงๆ หรือทำงานดีๆ เพื่อจะได้มีโอกาสเปลี่ยนฐานันดรไปเป็นชนชั้นปกครองเต็มภาคภูมิ จะได้ฝากเนื้อฝากตัวช่วยกอบโกยเอาอำนาจและทุนมาตุนไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้คนที่มีทุนมากกว่ามาแย่งชิงสิ่งที่ตนหามาได้ด้วยยาก

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมไปสนทนากับนักศึกษาปริญญาเอก และคณาจารย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง เรื่อง ทุนทางการเมืองของสังคมไทย

ความยากลำบากอย่างหนึ่งในการสนทนาก็คือ ทุน ความรู้หรือความเข้าใจเรื่องทุนของเรายังไม่เพียงพอ ในขณะที่ทุนเองก็เป็นเรื่องที่เข้าใจยากมาก หนังสือเล่มหนึ่งของ Karl Marx ที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองทั่วโลก ทั้งในประเทศและนานาชาติมีชื่อสั้นๆ ว่า ทุน

ความเข้าใจเรื่องทุนในสังคมไทยมีน้อยมาก เพราะเราเป็นสังคมกึ่งชนบทกึ่งเมือง จึงมักจะเข้าใจสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้เป็นรูปธรรม เช่น เงินดีกว่าทุนซึ่งเป็นนามธรรม คนไทยจึงมีคำพังเพยว่า “มีเงินมีทองพูดได้ มีไม้มีไร่ปลูกเรือนงาม”

เป็นที่รู้กันว่าเงินเป็นปัจจัยชี้ขาดผลรวมในการเลือกตั้งของไทย ต่างกับอเมริกันที่เงินซึ่งถึงแม้จะเป็นปัจจัยที่ขาดไม่ได้เหมือนกัน แต่ผลของการเลือกตั้งทั้งรวมและย่อยคือรายบุคคล ขึ้นอยู่กับทุนทางการเมืองอื่นๆ ซึ่งมิใช่เงิน

ในอเมริกาเงินซื้ออำนาจมิได้แต่ของไทยได้ และที่มาของเงินในการเลือกตั้งก็แตกต่างกัน ของเรามีแหล่งที่มาจากนายทุนและพรรคพวกที่เป็นเจ้าของพรรคอย่างเดียว แต่ของอเมริกันมาจากกองเชียร์พรรคหรือกองเชียร์ผู้สมัครรายเล็กรายน้อยเมื่อรวมกันแล้วมากกว่าเงินบริจาคของกลุ่มผลประโยชน์หรือล็อบบี้ที่ Unruh พูดถึงและทุนที่ล็อบบี้ให้ก็ใช่ว่าจะสั่งนักการเมืองอเมริกันที่นั่งอยู่ “บนนั้น” ได้ง่ายๆ เพราะนักการเมืองแบบ Unruh มีมากกว่านักการเมืองที่เป็นทาสนายทุนที่สั่ง ส.ส.ได้เหมือนกับระบบเผด็จการทุนนิยมพรรคสามานย์ตามคำนิยามของ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์

นางสดศรี สัตยธรรม 1 ใน 5 กกต.อนุมานว่าการเลือกตั้ง 3 กรกฎาที่ผ่านมา ต้องใช้เงินหลายหมื่นล้านบาทต่อสู้กัน แต่นางสดศรีและคณะไม่ยักทำอะไร ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้สมัครทุกคนหากใช้เงินเกิน 1 ล้าน 5 แสนบาทก็ถือว่าผิดกฎหมาย “เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้” ดังนี้ กกต.ก็สมควรวินิจฉัยตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย แต่ กกต.ก็บังคับให้คนไทยเป็นไอ้และอีโกหกทั้งชาติเหมือนกับตนเอง แสดงว่าเงินสำคัญกว่า และนางสดศรีกับ กกต.ทั้งคณะไม่มีค่าหรือมิใช่ทุนทางการเมืองของสังคมไทยแม้แต่นิดเดียว

พระรักเกียรติ รักขิตธัมโม หรืออดีต ฯพณฯ นายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งเป็นอดีตนักโทษชายชั้นดีได้รับการปลดปล่อยภายใน 5 ปีจากการพิพากษาจำคุก 15 ปีฐานคอร์รัปชันเงินเพียง 5 ล้านบาท พระรักเกียรติเขียนสูตรการซื้ออำนาจรัฐไทยว่าสามารถทำได้โดยใช้เงินประมาณ 3 หมื่นล้านบาท เอาจำนวนที่นั่งเสียงข้างมากในสภาหารดูก็จะรู้ว่า ส.ส.คนหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไร จะได้เอาไปฟาดหัว กกต.ฐานทำให้ไทยเป็นชาติของ “ลูกอีโกหก”

พระรักเกียรติสรุปว่า การเลือกตั้งแบบนี้มิใช่คำตอบของชาติ เพราะสู้เลือกตั้งด้วยเงินกันเสร็จแล้วยังต้องมาประมูลเก้าอี้รัฐมนตรีสู้กันอีก พระรักเกียรติผ่านการเลือกตั้งมา 7 ครั้งชนะรวด ได้เก้าอี้รัฐมนตรี 5 ครั้ง และเล่าว่าเป็นรัฐมนตรีไทยเงิน 1 พันล้านไม่ต้องหาอยู่เฉยๆ มันมาเอง รวมทั้งลาภยศอื่นๆ และผู้หญิงแบบเดียวกับที่ Unruh เล่า ต่างกันที่ของไทยต้องคืนทุน และตุนกำไรเอาไว้ให้เจ้าของทุนครองประเทศต่อไป สรุปแล้วนักการเมือง พรรคการเมือง และรัฐบาล กลับมิใช่ทุนหากเป็นหนี้ทางการเมืองของสังคมไทยไป

คำว่าทุนทางการเมืองคนไทยไปยืมมาจากคำฝรั่งว่า political capital ซึ่งเป็นคำที่ไม่มีในปทานุกรม และไม่มีฐานะเป็นศัพท์ในวิชารัฐศาสตร์ คำนี้มีที่มาจากคำพูดของประธานาธิบดีที่ได้ชื่อว่าทึ่มที่สุดของอเมริกา ผู้ที่พูดและเขียนผิดๆ ถูกๆ เป็นประจำ ได้แก่ George W. Bush ซึ่งกล่าวภายหลังการเลือกตั้งปี 2004 ว่าเขาได้ earned political capital มาจากการเลือกตั้ง จึงจะต้องนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ตลอดสมัย ท่านผู้อ่านลองทบทวนผู้นำไทยดูมีใครที่อ้างทุนทางการเมืองอย่างเดียวกับ George W. Bush บ้าง

ทุนทางการเมืองดั้งเดิมหมายถึงราคาผู้นำที่ตีค่าโดยประชาชนว่าคนนั้นคนนี้ดีกว่าคนนั้นคนนี้เพราะอย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งไม่เกี่ยวกับเงินเลย ไม่เคยมีใครพูดหรือคิดว่ามีเงินแล้วไม่โกง

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เคยอธิบายว่า ไทยเรามีทุนทางการเมืองต่ำเพราะมูลค่าของนักการเมืองและประชาชนมีต่ำ ดังนั้น ทุนทางการเมืองของสังคมน่าจะหมายถึงคุณภาพของประชาชน ความเข้มแข็งมั่นคงของชุมชนและประเทศ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี องค์กรสถาบันและภาวะผู้นำที่เข้มแข็ง พลังและศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า ฯลฯ

ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็น่าวิตกเพราะเงินซึ่งมีบทบาทยิ่งกว่าพระเจ้าได้ถูกกำหนดและยอมให้เป็นปัจจัยชี้ขาดในการเมืองไทย เงินนี้ก็จะเพิ่มอำนาจ และอำนาจก็จะเพิ่มเงิน ในขณะที่อำนาจและเงินที่ผูกขาดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ทุนทางการเมืองอื่นๆ ที่สำคัญและดีกว่าข้างต้นก็จะสร้างขึ้นมาไม่ได้ และที่มีอยู่ก็นับวันจะหมดไป

หวังว่าท่านผู้อ่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักศึกษาและคณาจารย์ที่ได้ร่วมสนทนากันจะได้ช่วยกันศึกษาขบคิดและหาวิธีแก้ไขกันต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น