ASTVผู้จัดการรายวัน - ภรรยาแกนนำต้านโรงงานถ่านหินในสมุทรสาคร ร่ำไห้รับศพสามี ระบุรู้ตัวกลุ่มไหนเป็นคนจ้างสังหาร ย้ำเป็นห่วงความปลอดภัยของแกนนำที่ร่วมต่อต้านอีกกว่า 10 คน ขณะที่กองปราบปรามส่งทีมลงไปสางคดี เชื่อเป็นฝีมือกลุ่มมือปืนรับจ้างประเด็นถ่านหิน
วานนี้ (29 ก.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น.ที่สถาบันนิติเวชวิทยา นางจอมขวัญ เสวกจินดา ภรรยานายทองนาค เสวกจินดา แกนนำต่อต้านโรงงานถ่านหิน จ.สมุทรสาคร ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต พร้อมบรรดาญาติและแกนนำจำนวนมากเดินทางมารับศพ นายทองนาค เพื่อไปสวดอภิธรรศพ ที่วัดสิริมงคล ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ10) มาดูแลอำนวยความสะดวกและให้ความมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นางจอมขวัญเชื่อว่า สาเหตุที่สามีถูกยิงเสียชีวิตมาจากการเคลื่อนไหวต่อต้านโรงงานถ่านหินในพื้นที่ ที่ทำมาตลอดเกือบ 2 ปี เพราะที่ผ่านมา สามีไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ก็เคยถูกข่มขู่ผ่านมาทางคนรอบข้างตลอดว่า ให้ระวังตัว เก่งนักหรือ จะโดนอุ้ม จะโดนยิง ซึ่งญาติๆ ก็เตือนให้ระมัดระวังตัว แต่การระวังตัวกับการโดยจ้องทำร้ายสุดท้ายก็ต้องถูกทำร้าย สามีก็ไม่เคยกลัวบอกเพียงว่า อย่างไรก็ตาม ต้องเคลื่อนไหวต่อต้านต่อไป เพราะหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราและชาวบ้านบริเวณนี้ ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเราเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ยื่นหนังสือ ร้องเรียนไปยังราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ราชการก็ล่าช้ามาก ไม่ดำเนินการอะไรตามที่เราร้องเรียนบางครั้งก็ดำเนินการไปคนละอย่างกับที่เราร้องเรียนไป
“การกระทำครั้งนี้ถือว่าอุกอาจมาก อยากให้ตำรวจดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ให้หมดไป และเร่งดำเนินการจับกุมตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว และให้เข้ามาดูแลประชาชนในพื้นที่ด้วย เพราะเกรงว่าจะตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากมีแกนนำที่เหลืออีก 10 กว่าคนที่ถูกข่มขู่เช่นเดียวกัน ดิฉันเองก็พอรู้ว่ากลุ่มที่ทำเป็นใครและเชื่อว่าการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงจะทราบได้”นางจอมขวัญกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.วิรุฬห์ ศุภสิงห์ศิริปรีชา นายแพทย์ (สบ3) กลุ่มงานนิติพยาธิ ปพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ศพ กล่าวว่า สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากกระสุนปืนทำลาย ปอด หัวใจ ตับ รวมกระสุนที่ถูกยิงจำนวน 6 นัด เข้าบริเวณช่องท้องและหน้าอก กระสุนฝังใน 3 นัด ทะลุ 3 นัด โดยลักษณะการยิงเป็นการยิงจากทางด้านหลังซ้ายวิถีกระสุนกดลงด้านล่าง ขนาดกระสุนเป็นหัวระเบิด.357 เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.กล่าวว่า คดีดังกล่าวถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญและอุกอาจในการยิงแกนนำในครั้งนี้ ถือว่าไม่เกรงกลัวกฏหมายบ้านเมือง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.จึงได้สั่งการให้ตำรวจกองปราบปราม ลงพื้นที่สืบสวนช่วยตำรวจพื้นที่
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ได้สั่งให้ พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ สว.กก.5 บก.ป.และ ร.ต.ท.วิเชียร ตู้ทอง รอง สว. กก.5 บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนหาข้อมูลเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่อีกแรง เบื้องต้นทราบว่าผู้ตายเป็นแกนนำม๊อบถ่านหินที่ประท้วงปิดถนนพระราม 2 ที่ผ่านมา จากนั้นไม่นานมีการโทรศัพท์มาข่มขู่ผู้ตายจนกระทั่งผู้ตายต้องไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมือง จ.สมุทรสาคร ก่อนที่จะมาถูกสังหารดังกล่าว
“สาเหตุการสังหารในครั้งนี้ คาดว่า จะเป็นประเด็นเรื่องขัดแย้งการขนย้ายถ่านหินในพื้นที่ ต.ท่าทราย ประเด็นเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ คงต้องรอการสอบสวนอีกสัก 2-3 วัน ถึงจะสรุปได้ว่าสาเหตุหารสังหารมาจากเรื่องใด” ผบก.ป.กล่าว
มีรายงานว่า คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นมีโอ สีดำ-เหลือง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ภาพวงจรปิดในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ.
วานนี้ (29 ก.ค.) เมื่อเวลา 12.00 น.ที่สถาบันนิติเวชวิทยา นางจอมขวัญ เสวกจินดา ภรรยานายทองนาค เสวกจินดา แกนนำต่อต้านโรงงานถ่านหิน จ.สมุทรสาคร ที่ถูกคนร้ายยิงเสียชีวิต พร้อมบรรดาญาติและแกนนำจำนวนมากเดินทางมารับศพ นายทองนาค เพื่อไปสวดอภิธรรศพ ที่วัดสิริมงคล ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร โดยมี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่ปรึกษา (สบ10) มาดูแลอำนวยความสะดวกและให้ความมั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
นางจอมขวัญเชื่อว่า สาเหตุที่สามีถูกยิงเสียชีวิตมาจากการเคลื่อนไหวต่อต้านโรงงานถ่านหินในพื้นที่ ที่ทำมาตลอดเกือบ 2 ปี เพราะที่ผ่านมา สามีไม่เคยมีปัญหาอะไรกับใครมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้ ก็เคยถูกข่มขู่ผ่านมาทางคนรอบข้างตลอดว่า ให้ระวังตัว เก่งนักหรือ จะโดนอุ้ม จะโดนยิง ซึ่งญาติๆ ก็เตือนให้ระมัดระวังตัว แต่การระวังตัวกับการโดยจ้องทำร้ายสุดท้ายก็ต้องถูกทำร้าย สามีก็ไม่เคยกลัวบอกเพียงว่า อย่างไรก็ตาม ต้องเคลื่อนไหวต่อต้านต่อไป เพราะหมายถึงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเราและชาวบ้านบริเวณนี้ ตลอดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมาเราเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ยื่นหนังสือ ร้องเรียนไปยังราชการที่เกี่ยวข้อง แต่ราชการก็ล่าช้ามาก ไม่ดำเนินการอะไรตามที่เราร้องเรียนบางครั้งก็ดำเนินการไปคนละอย่างกับที่เราร้องเรียนไป
“การกระทำครั้งนี้ถือว่าอุกอาจมาก อยากให้ตำรวจดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ให้หมดไป และเร่งดำเนินการจับกุมตัวคนร้ายให้ได้โดยเร็ว และให้เข้ามาดูแลประชาชนในพื้นที่ด้วย เพราะเกรงว่าจะตกอยู่ในอันตรายเนื่องจากมีแกนนำที่เหลืออีก 10 กว่าคนที่ถูกข่มขู่เช่นเดียวกัน ดิฉันเองก็พอรู้ว่ากลุ่มที่ทำเป็นใครและเชื่อว่าการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็คงจะทราบได้”นางจอมขวัญกล่าว
ด้าน พ.ต.ท.วิรุฬห์ ศุภสิงห์ศิริปรีชา นายแพทย์ (สบ3) กลุ่มงานนิติพยาธิ ปพทย์ผู้ผ่าพิสูจน์ศพ กล่าวว่า สาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากกระสุนปืนทำลาย ปอด หัวใจ ตับ รวมกระสุนที่ถูกยิงจำนวน 6 นัด เข้าบริเวณช่องท้องและหน้าอก กระสุนฝังใน 3 นัด ทะลุ 3 นัด โดยลักษณะการยิงเป็นการยิงจากทางด้านหลังซ้ายวิถีกระสุนกดลงด้านล่าง ขนาดกระสุนเป็นหัวระเบิด.357 เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
วันเดียวกัน ที่กองปราบปราม พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ผบก.ป.กล่าวว่า คดีดังกล่าวถือว่าเป็นคดีสะเทือนขวัญและอุกอาจในการยิงแกนนำในครั้งนี้ ถือว่าไม่เกรงกลัวกฏหมายบ้านเมือง พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ ผบช.ก.จึงได้สั่งการให้ตำรวจกองปราบปราม ลงพื้นที่สืบสวนช่วยตำรวจพื้นที่
พล.ต.ต.สุพิศาล กล่าวว่า ได้สั่งให้ พ.ต.อ.อธิป แท่นนิล ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ สว.กก.5 บก.ป.และ ร.ต.ท.วิเชียร ตู้ทอง รอง สว. กก.5 บก.ป.พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวนหาข้อมูลเพื่อช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจพื้นที่อีกแรง เบื้องต้นทราบว่าผู้ตายเป็นแกนนำม๊อบถ่านหินที่ประท้วงปิดถนนพระราม 2 ที่ผ่านมา จากนั้นไม่นานมีการโทรศัพท์มาข่มขู่ผู้ตายจนกระทั่งผู้ตายต้องไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมือง จ.สมุทรสาคร ก่อนที่จะมาถูกสังหารดังกล่าว
“สาเหตุการสังหารในครั้งนี้ คาดว่า จะเป็นประเด็นเรื่องขัดแย้งการขนย้ายถ่านหินในพื้นที่ ต.ท่าทราย ประเด็นเดียวเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ คงต้องรอการสอบสวนอีกสัก 2-3 วัน ถึงจะสรุปได้ว่าสาเหตุหารสังหารมาจากเรื่องใด” ผบก.ป.กล่าว
มีรายงานว่า คนร้ายใช้รถจักรยานยนต์แบบผู้หญิง ยี่ห้อยามาฮ่า รุ่นมีโอ สีดำ-เหลือง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ภาพวงจรปิดในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ.