ศูนย์ข่าวเชียงใหม่- สภาอุตฯภาคเหนือ จวกนโยบายประชานิยมพรรคการเมือง จี้รัฐบาลใหม่แจกคูปอง หรือบัตรภาษี ชดเชยหากปรับค่าแรง 300 บาทจริง พร้อมหนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ บอกต้นทุนค่าแรงเพิ่มเป็น 36%แน่ เชื่อทำราคาสินค้าพุ่งอีก 16%
นายยุทธพงศ์ จีระประภาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ เปิดเผยหลังเข้าร่วมประชุมคณะกรรมบริหารสภาอุตสาหกรรม 17จังหวัดภาคเหนือ โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำปางเป็นเจ้าภาพ ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงทิศทางของภาคอุตสาหกรรมภายใต้การบริหารประเทศโดยรัฐบาลชุดใหม่ การกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก การรับมือกับประชาคมอาเซียน และหยิบยกกรณีการที่มีนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาทของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี
ที่ประชุมจึงได้เสนอให้รัฐบาลใช้วิธีการปรับค่าแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป อาศัยคณะกรรมการไตรภาคีของแต่ละจังหวัดและส่วนกลางเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่เป็นการปรับค่าแรงแบบก้าวกระโดด
ทั้งนี้ เนื่องจากการปรับค่าแรงดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนในส่วนของค่าแรงที่ปกติอยู่ที่ 20%ของราคาสินค้าเพิ่มเป็น 36%ทันที และราคาสินค้าจะปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 16%
“นโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง ควรจะพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วย และคำนึงถึงความเป็นไปได้ เพื่อเกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย สิ่งแรกที่จะได้เห็นไม่ใช่เฉพาะที่กิจการภาคอุตสาหกรรมจะปิดตัว แต่ภาคการลงทุนจากต่างประเทศจะลดลง และจะมีการย้ายการผลิตจากไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านแทน รวมไปถึงภาคการส่งออกจะมีขีดความสามารถของการแข่งขันลดลงเนื่องจากต้นทุนสูงขึ้นแต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าตามได้”
นายยุทธพงศ์ ยังบอกอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้กำหนดจุดยืน เพื่อขอรับการช่วยเหลือจากภาครัฐ คือ ควรมีมาตรการชดเชยค่าแรงส่วนต่างให้แก่ผู้ประกอบการในรูปของคูปอง หรือบัตรภาษี ควรเพิ่มมาตรการการชดเชยภาษีสำหรับผู้ส่งออกที่ใช้วัสดุในประเทศ การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 23%จะได้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า เอสเอ็มอี และให้เพิ่มมาตรการส่งเสริมเงินกู้ภาคอุตสาหกรรมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจุดยืนดังกล่าวเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาต่อไป
นายยุทธพงศ์ จีระประภาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ เปิดเผยหลังเข้าร่วมประชุมคณะกรรมบริหารสภาอุตสาหกรรม 17จังหวัดภาคเหนือ โดยสภาอุตสาหกรรมจังหวัดลำปางเป็นเจ้าภาพ ว่า ที่ประชุมได้หารือถึงทิศทางของภาคอุตสาหกรรมภายใต้การบริหารประเทศโดยรัฐบาลชุดใหม่ การกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก การรับมือกับประชาคมอาเซียน และหยิบยกกรณีการที่มีนโยบายขึ้นค่าแรง 300 บาทของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมหรือเอสเอ็มอี
ที่ประชุมจึงได้เสนอให้รัฐบาลใช้วิธีการปรับค่าแรงแบบค่อยเป็นค่อยไป อาศัยคณะกรรมการไตรภาคีของแต่ละจังหวัดและส่วนกลางเป็นบรรทัดฐาน ไม่ใช่เป็นการปรับค่าแรงแบบก้าวกระโดด
ทั้งนี้ เนื่องจากการปรับค่าแรงดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนในส่วนของค่าแรงที่ปกติอยู่ที่ 20%ของราคาสินค้าเพิ่มเป็น 36%ทันที และราคาสินค้าจะปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 16%
“นโยบายประชานิยมของพรรคการเมือง ควรจะพิจารณาถึงความเหมาะสมด้วย และคำนึงถึงความเป็นไปได้ เพื่อเกิดประโยชน์ร่วมกันทุกฝ่าย สิ่งแรกที่จะได้เห็นไม่ใช่เฉพาะที่กิจการภาคอุตสาหกรรมจะปิดตัว แต่ภาคการลงทุนจากต่างประเทศจะลดลง และจะมีการย้ายการผลิตจากไทยไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านแทน รวมไปถึงภาคการส่งออกจะมีขีดความสามารถของการแข่งขันลดลงเนื่องจากต้นทุนสูงขึ้นแต่ไม่สามารถปรับราคาสินค้าตามได้”
นายยุทธพงศ์ ยังบอกอีกว่า นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้กำหนดจุดยืน เพื่อขอรับการช่วยเหลือจากภาครัฐ คือ ควรมีมาตรการชดเชยค่าแรงส่วนต่างให้แก่ผู้ประกอบการในรูปของคูปอง หรือบัตรภาษี ควรเพิ่มมาตรการการชดเชยภาษีสำหรับผู้ส่งออกที่ใช้วัสดุในประเทศ การลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 23%จะได้ประโยชน์แก่ผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า เอสเอ็มอี และให้เพิ่มมาตรการส่งเสริมเงินกู้ภาคอุตสาหกรรมในอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งจุดยืนดังกล่าวเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาต่อไป
