ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้คาดโต 17% ด้านเพาเวอร์บายห้าวหวังโตกว่าตลาดรวมที่ 20% ชี้เทรนด์ลูกค้าซื้อเงินสดและบัตรเครดิตเติบโตขึ้นมาก ขณะที่การซื้อด้วยระบบสินเชื่อลดลงเรื่อยๆ แนวทางตลาดโฟกัสแคมเปญกับเงินสดและเครดิตมากขึ้น พร้อมลุยโมเดลสแตนด์อโลน
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 17% ขณะที่เพาเวอร์บายเองตั้งเป้าอัตราการเติบโตปีนี้ไว้สูงกว่าคือ 20% เนื่องมาจากปัจจัยบวกหลายประการโดยเฉพาะครึ่งปีหลัง เช่น ความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ที่ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลก็ตามก็ถือว่าได้รับเลือกตั้งมาแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ การจับจ่ายของผู้บริโภคเริ่มดีขึ้น และนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาอีกแล้ว รวมทั้งตัวสินค้าที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา แต่ปัจจัยลบก็ยังมีบ้างเช่น อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันสูงขึ้น
โดยจากรายงานของจีเอฟเค คาดว่าปี 2554 นี้ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 235,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเอวี 57,306 ล้านบาท กลุ่มเอชเอ 76,759 ล้านบาท และกลุ่ม ไอที 100,511 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 มีมูลค่ารวม 201,050 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเอวี 45,710 ล้านบาท กลุ่มเอชเอ 61,340 ล้านบาท และกลุ่มไอที 201,050 ล้านบาท
นางสอางทิพย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับสัดส่วนรายได้ของเพาเวอร์บายขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อเงินสดของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและ การซื้อด้วยระบบเงินผ่อนหรือเครดิตการ์ดก็เพิ่มเช่นกันเนื่องมาจากการแข่งขันของสถาบันการเงินที่ปล่อยเครดิตนั่นเอง และที่สำคัญคือ การใช้บัตรเครดิตด้วยระบบจ่ายเต็มจะลดลงและพัฒนาเพิ่มในส่วนของเงินผ่อน0% นั่นเอง ขณะที่การซื้อสินค้าด้วยระบบสินเชื่อนั้นน้อยลง ดังนั้นแนวทางการตลาดจากนี้เพาเวอร์บายจะหันมาเน้นแคมเปญหรือโปรโมชั่นกับการซื้อด้วยเงินสดและบัตรเครดิตมากขึ้น
โดยเมื่อปี 2552 สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจาก เงินสด 24.68% เพิ่มเป็น 25.11% ในปี 2553 และ ปี 2554 นี้คาดว่าจะเป็น 26.74% ส่วนยอดรายได้จากบัตรเครดิต จากปี 2552 มี 59.96% (แยกเป็น จ่ายเต็ม 37.99% และผ่อน 0% ประมาณ 21%) , ปี 2553 เท่ากับ 62.33% (แยกเป็น จ่ายเต็ม 32.28% และผ่อน 0% เท่ากับ 30.05%), และปี 2554 คาดว่าจะเป็น 61.73% (แยกเป็น จ่ายเต็ม 29.38% ผ่อน0% เท่ากับ 32.35%) ขณะที่ระบบสินเชื่อนั้น ปี 2552 เพาเวอร์บายมีสัดส่วนนี้ประมาณ 15.36% ลดลงมาเหลือ 12.56% ในปี 2553 และคาดว่าปี 2554 นี้จะเหลือเพียง 11.45% เท่านั้น
ทั้งนี้ครึ่งปีแรก 2554 ของเพาเวอร์บาย มีอัตราการเติบโตในแต่ละกลุ่มต่างกันไป กล่าวคือ กลุ่มเอวี เติบโต 30% กลุ่มเอชเอ เช่น เครื่องซักผ้าโต 30% สินค้าขนาดเล็กโต 20% กลุ่มไอที โต 50% โดยแท็บเล็ตโต 100% กล้องดิจิตอลโต 40% ขณะที่สัดส่วนยอดขายใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม
แผนการลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบ 300 ล้านบาท สำหรับรีโนเวต 13 สาขาเก่า และอีก 700 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ปีนี้ประมาณ 18 แห่ง แยกเป็น กทม. 3 แห่ง และต่างจังหวัด 15 แห่ง ซึ่งเปิดไปแล้ว 4 แห่งเช่น หัวหิน เชียงราย สุขาภิบาล3 บางนา-ตราดกม.7 ซึ่งหัวหินเป็นสาขาสแตนด์อโลนขนาดใหญ่แห่งแรก พื้นที่ 2,000 ตร.ม. ใหญ่กว่าที่ลาดพร้าว ซึ่งไม่มีแม็กเน็ตหรือธุรกิจอะไรในเครือเซ็นทรัลและนอกเครือร่วมด้วยเลย เปิดเมื่อต้นปีนี้ได้รับการตอบรับดี ปีนี้มีแผนจะเปิดโมเดลแบบนี้อีก 2 แห่ง
ล่าสุดจัดงานเพาเวอร์บายเอ็กซ์โป 2011 วันที่ 22-31 ก.ค.นี้ที่ไบเทค บางนา คาดมียอดขาย 450 ล้านบาท และมีคนเข้างานกว่า 400,000 คน มีสินค้าจากผู้ประกอบการมากกว่า 200 แบรนด์เข้าร่วม สำหรับยอดขายบริษัทปีนี้ตั้งไว้ที่ 16,200 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่แล้วมีรายได้ 13,500 ล้านบาท เติบโต 15% และปีนี้ใช้งบตลาด 400 ล้านบาท
นางสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ในเครือเซ็นทรัล เปิดเผยว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยรวมปีนี้คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 17% ขณะที่เพาเวอร์บายเองตั้งเป้าอัตราการเติบโตปีนี้ไว้สูงกว่าคือ 20% เนื่องมาจากปัจจัยบวกหลายประการโดยเฉพาะครึ่งปีหลัง เช่น ความชัดเจนของรัฐบาลชุดใหม่ที่ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำรัฐบาลก็ตามก็ถือว่าได้รับเลือกตั้งมาแล้ว มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ๆ การจับจ่ายของผู้บริโภคเริ่มดีขึ้น และนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาอีกแล้ว รวมทั้งตัวสินค้าที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ขึ้นมา แต่ปัจจัยลบก็ยังมีบ้างเช่น อัตราเงินเฟ้อ ราคาน้ำมันสูงขึ้น
โดยจากรายงานของจีเอฟเค คาดว่าปี 2554 นี้ตลาดรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าจะอยู่ที่ประมาณ 235,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเอวี 57,306 ล้านบาท กลุ่มเอชเอ 76,759 ล้านบาท และกลุ่ม ไอที 100,511 ล้านบาท ขณะที่ปี 2553 มีมูลค่ารวม 201,050 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มเอวี 45,710 ล้านบาท กลุ่มเอชเอ 61,340 ล้านบาท และกลุ่มไอที 201,050 ล้านบาท
นางสอางทิพย์ กล่าวด้วยว่า สำหรับสัดส่วนรายได้ของเพาเวอร์บายขณะนี้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย โดยเฉพาะในส่วนของการซื้อเงินสดของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและ การซื้อด้วยระบบเงินผ่อนหรือเครดิตการ์ดก็เพิ่มเช่นกันเนื่องมาจากการแข่งขันของสถาบันการเงินที่ปล่อยเครดิตนั่นเอง และที่สำคัญคือ การใช้บัตรเครดิตด้วยระบบจ่ายเต็มจะลดลงและพัฒนาเพิ่มในส่วนของเงินผ่อน0% นั่นเอง ขณะที่การซื้อสินค้าด้วยระบบสินเชื่อนั้นน้อยลง ดังนั้นแนวทางการตลาดจากนี้เพาเวอร์บายจะหันมาเน้นแคมเปญหรือโปรโมชั่นกับการซื้อด้วยเงินสดและบัตรเครดิตมากขึ้น
โดยเมื่อปี 2552 สัดส่วนรายได้ของบริษัทมาจาก เงินสด 24.68% เพิ่มเป็น 25.11% ในปี 2553 และ ปี 2554 นี้คาดว่าจะเป็น 26.74% ส่วนยอดรายได้จากบัตรเครดิต จากปี 2552 มี 59.96% (แยกเป็น จ่ายเต็ม 37.99% และผ่อน 0% ประมาณ 21%) , ปี 2553 เท่ากับ 62.33% (แยกเป็น จ่ายเต็ม 32.28% และผ่อน 0% เท่ากับ 30.05%), และปี 2554 คาดว่าจะเป็น 61.73% (แยกเป็น จ่ายเต็ม 29.38% ผ่อน0% เท่ากับ 32.35%) ขณะที่ระบบสินเชื่อนั้น ปี 2552 เพาเวอร์บายมีสัดส่วนนี้ประมาณ 15.36% ลดลงมาเหลือ 12.56% ในปี 2553 และคาดว่าปี 2554 นี้จะเหลือเพียง 11.45% เท่านั้น
ทั้งนี้ครึ่งปีแรก 2554 ของเพาเวอร์บาย มีอัตราการเติบโตในแต่ละกลุ่มต่างกันไป กล่าวคือ กลุ่มเอวี เติบโต 30% กลุ่มเอชเอ เช่น เครื่องซักผ้าโต 30% สินค้าขนาดเล็กโต 20% กลุ่มไอที โต 50% โดยแท็บเล็ตโต 100% กล้องดิจิตอลโต 40% ขณะที่สัดส่วนยอดขายใกล้เคียงกันทุกกลุ่ม
แผนการลงทุนปีนี้ตั้งไว้ที่ 1,000 ล้านบาท แบ่งเป็น งบ 300 ล้านบาท สำหรับรีโนเวต 13 สาขาเก่า และอีก 700 ล้านบาท เปิดสาขาใหม่ปีนี้ประมาณ 18 แห่ง แยกเป็น กทม. 3 แห่ง และต่างจังหวัด 15 แห่ง ซึ่งเปิดไปแล้ว 4 แห่งเช่น หัวหิน เชียงราย สุขาภิบาล3 บางนา-ตราดกม.7 ซึ่งหัวหินเป็นสาขาสแตนด์อโลนขนาดใหญ่แห่งแรก พื้นที่ 2,000 ตร.ม. ใหญ่กว่าที่ลาดพร้าว ซึ่งไม่มีแม็กเน็ตหรือธุรกิจอะไรในเครือเซ็นทรัลและนอกเครือร่วมด้วยเลย เปิดเมื่อต้นปีนี้ได้รับการตอบรับดี ปีนี้มีแผนจะเปิดโมเดลแบบนี้อีก 2 แห่ง
ล่าสุดจัดงานเพาเวอร์บายเอ็กซ์โป 2011 วันที่ 22-31 ก.ค.นี้ที่ไบเทค บางนา คาดมียอดขาย 450 ล้านบาท และมีคนเข้างานกว่า 400,000 คน มีสินค้าจากผู้ประกอบการมากกว่า 200 แบรนด์เข้าร่วม สำหรับยอดขายบริษัทปีนี้ตั้งไว้ที่ 16,200 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่แล้วมีรายได้ 13,500 ล้านบาท เติบโต 15% และปีนี้ใช้งบตลาด 400 ล้านบาท