ASTVผู้จัดการรายวัน – ไอซ์ มอนสเตอร์ เดือด บริษัทแม่ จากฟิลิปปินส์ เตรียมยื่นฟ้อง “ไอ ดู ไอซ์” เหตุบิดเบือนข้อเท็จจริงในการดำเนินธุรกิจ ทำผิดสัญญาหลายข้อ และหมดสัญญาค่าลิขสิทธิ์ ตั้งแต่มี.ค.ที่ผ่านมา รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 35 ล้านบาท ย้ำชัดศักยภาพไอซ์ มอนสเตอร์ในไทยยังไปได้สวย พร้อมขายแฟรนไชน์ให้รายอื่น
นายแชดวิค รากาส (Chadwick Ragas) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซ์มอนสเตอร์ จำกัด (ประเทศฟิลิปปินส์) และนายเจอราร์ด แทน (Gerard Tan) หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งแบรนด์ ไอซ์มอนสเตอร์ ร่วมกันเปิดเผยว่า ในปี 2549 ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มอบสิทธ์ในลักษณะของมาสเตอร์แฟรนไชส์ ให้กับนายอธิป โชติญาณวงษ์ ต่อมาได้ก่อตั้ง บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจร้านน้ำแข็งใส ภายใต้แบรนด์ไอซ์มอนสเตอร์ โดยสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนมี.ค. 2554 ที่ผ่านมา
ดังนั้นปัจจุบันจึงถือว่าทางไอ ดู ไอซ์ ไม่สามารรถนำเครื่องหมายการค้า “ไอซ์มอนสเตอร์” ไปใช้ได้ ซึ่งหากบริษัทดังกล่าวยังใช้เครื่องหมายการค้านี้อยู่ จะถือว่าเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าของทั้งไทยและฟิลิปปินส์ โดยทางบริษัทพร้อมจะยื่นเอกสารฟ้องร้องต่อไปและจากผลการหมดสัญญาครั้งนี้ ทางไอ ดู ไอซ์ จะต้องปิดให้บริการร้านไอซ์มอนสเตอร์ทันที
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ที่ผ่านมายังพบด้วยว่า ทาง ไอ ดู ไอซ์ ได้ทำผิดข้อสัญญาและบิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายๆด้าน เช่น ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ทางไอ ดู ไอซ์ อ้างว่าธุรกิจประสบภาวะขาดทุน มีเปิดให้บริการเพียง 11 สาขาเท่านั้น จึงไม่ได้ยื่นจ่ายค่าเครื่องหมายการค้าให้บริษัท ที่ต้องจ่ายในอัตรา 5% ของรายได้ต่อปีทุกปี ขณะที่ในความเป็นจริง ไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั่วประเทศกว่า 45 สาขา เปิดเอง 7 สาขา และอีกกว่า 38 สาขาเป็นแฟรนไชส์
นอกจากนี้จากข้อสัญญา ทางไอ ดู ไอซ์ ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหรือแก้ไข เครื่องหมายการค้าได้ รวมถึงไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือนิวบิซิเนสใหม่ที่ใช้วัตถุดิบเดียวกันหรือคล้ายกับไอซ์มอนสเตอร์ได้ แต่ที่ผ่านมาพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องหมายการค้า รวมถึงมีออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย ซึ่งหากต้องการที่จะต่อยอดทำธุรกิจจริงควรที่จะมีหนังสือชี้แจงมายังบริษัทก่อน
นายแชดวิค กล่าวต่อว่า สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้ประเมินความเสียหายอย่างชัดเจน แต่เบื้องต้นคาดว่าจะสูงกว่า 35 ล้านบาท เพียงเฉพาะค่าลิขสิทธิ์อย่างเดียวที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 35 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าไลเซ่น อีก 40,000 เหรียญสหรัฐ รวมถึงค่ารอยัลตี้แบรนด์ที่ต้องจ่ายให้ทุกปีอีกปีละ 15,000 เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้หากทางไอ ดู ไอซ์
ไม่ยอมรับการติดต่อในทุกช่องทางที่ทางบริษัทพยายามติดต่อเจรจาด้วยแล้ว ทางบริษัทพร้อมที่จะยื่นฟ้องทันที อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากศักยภาพของไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทย มีโอกาสและเติบโตได้ดีอยู่ ทางบริษัทจึงพร้อมที่ลงทุน และขายมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้แก้ผู้ที่สนใจต่อไป ซึ่งขณะนี้มีติดต่อเข้ามาอยู่หลายราย
**กรรชัยเดินหน้าฟ้องเรียกสิทธิ์ที่พึงได้**
ด้านนายกรรชัย กำเนิดพลอย อดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด กล่าวต่อว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นของตนกับทาง ไอ ดู ไอซ์ ล่าสุดตนได้ยื่นหนังสือส่งฟ้องทั้งศาลแพ่ง และศาลอาญา โดยทางศาลอาญาได้รับคำฟ้องแล้ว โดยตนยื่นฟ้องไปใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.การถอดชื่อตนออกจากผู้ถือหุ้น โดยตนไม่ยินยอม 2. จำเลยทั้ง 2 คน คือ นายอธิป โชติญาณวงษ์ และนางชัญญา โชติญาณวงษ์ นำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว ขณะที่ตนไม่เคยได้รับเงินปันผลมาตลอด 4-5 ปี และ 3.กรณีรายได้ในบางสาขาที่ไม่เข้าตรงมาที่บริษัท และเข้าบัญชีส่วนตัวของ 2 จำเลย ขณะที่การยื่นฟ้องทางศาลแพ่งนั้น เป็นการเรียกค่าเสียหายในส่วนของตนที่ควรจะได้ เบื้องต้นฟ้องเรียกไปในหลักสิบล้านบาท นอกจากนี้ยังเตรียมยื่นฟ้องอีก 2 คดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับเอกสารที่ไม่ตรงกันเป็นหลัก
นายแชดวิค รากาส (Chadwick Ragas) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอซ์มอนสเตอร์ จำกัด (ประเทศฟิลิปปินส์) และนายเจอราร์ด แทน (Gerard Tan) หุ้นส่วนผู้ก่อตั้งแบรนด์ ไอซ์มอนสเตอร์ ร่วมกันเปิดเผยว่า ในปี 2549 ที่ผ่านมา ทางบริษัทได้มอบสิทธ์ในลักษณะของมาสเตอร์แฟรนไชส์ ให้กับนายอธิป โชติญาณวงษ์ ต่อมาได้ก่อตั้ง บริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด ขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจร้านน้ำแข็งใส ภายใต้แบรนด์ไอซ์มอนสเตอร์ โดยสัญญาดังกล่าวสิ้นสุดลงตั้งแต่เดือนมี.ค. 2554 ที่ผ่านมา
ดังนั้นปัจจุบันจึงถือว่าทางไอ ดู ไอซ์ ไม่สามารรถนำเครื่องหมายการค้า “ไอซ์มอนสเตอร์” ไปใช้ได้ ซึ่งหากบริษัทดังกล่าวยังใช้เครื่องหมายการค้านี้อยู่ จะถือว่าเป็นการละเมิดเครื่องหมายการค้าของทั้งไทยและฟิลิปปินส์ โดยทางบริษัทพร้อมจะยื่นเอกสารฟ้องร้องต่อไปและจากผลการหมดสัญญาครั้งนี้ ทางไอ ดู ไอซ์ จะต้องปิดให้บริการร้านไอซ์มอนสเตอร์ทันที
อย่างไรก็ตาม นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ที่ผ่านมายังพบด้วยว่า ทาง ไอ ดู ไอซ์ ได้ทำผิดข้อสัญญาและบิดเบือนข้อเท็จจริงในหลายๆด้าน เช่น ตั้งแต่ปี 2552 เป็นต้นมา ทางไอ ดู ไอซ์ อ้างว่าธุรกิจประสบภาวะขาดทุน มีเปิดให้บริการเพียง 11 สาขาเท่านั้น จึงไม่ได้ยื่นจ่ายค่าเครื่องหมายการค้าให้บริษัท ที่ต้องจ่ายในอัตรา 5% ของรายได้ต่อปีทุกปี ขณะที่ในความเป็นจริง ไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั่วประเทศกว่า 45 สาขา เปิดเอง 7 สาขา และอีกกว่า 38 สาขาเป็นแฟรนไชส์
นอกจากนี้จากข้อสัญญา ทางไอ ดู ไอซ์ ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหรือแก้ไข เครื่องหมายการค้าได้ รวมถึงไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือนิวบิซิเนสใหม่ที่ใช้วัตถุดิบเดียวกันหรือคล้ายกับไอซ์มอนสเตอร์ได้ แต่ที่ผ่านมาพบว่า มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเครื่องหมายการค้า รวมถึงมีออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย ซึ่งหากต้องการที่จะต่อยอดทำธุรกิจจริงควรที่จะมีหนังสือชี้แจงมายังบริษัทก่อน
นายแชดวิค กล่าวต่อว่า สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ยังไม่ได้ประเมินความเสียหายอย่างชัดเจน แต่เบื้องต้นคาดว่าจะสูงกว่า 35 ล้านบาท เพียงเฉพาะค่าลิขสิทธิ์อย่างเดียวที่ต้องจ่ายอยู่ที่ 35 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีค่าไลเซ่น อีก 40,000 เหรียญสหรัฐ รวมถึงค่ารอยัลตี้แบรนด์ที่ต้องจ่ายให้ทุกปีอีกปีละ 15,000 เหรียญสหรัฐ ทั้งนี้หากทางไอ ดู ไอซ์
ไม่ยอมรับการติดต่อในทุกช่องทางที่ทางบริษัทพยายามติดต่อเจรจาด้วยแล้ว ทางบริษัทพร้อมที่จะยื่นฟ้องทันที อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าจากศักยภาพของไอซ์มอนสเตอร์ในประเทศไทย มีโอกาสและเติบโตได้ดีอยู่ ทางบริษัทจึงพร้อมที่ลงทุน และขายมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้แก้ผู้ที่สนใจต่อไป ซึ่งขณะนี้มีติดต่อเข้ามาอยู่หลายราย
**กรรชัยเดินหน้าฟ้องเรียกสิทธิ์ที่พึงได้**
ด้านนายกรรชัย กำเนิดพลอย อดีตผู้ถือหุ้นในบริษัท ไอ ดู ไอซ์ จำกัด กล่าวต่อว่า จากปัญหาที่เกิดขึ้นของตนกับทาง ไอ ดู ไอซ์ ล่าสุดตนได้ยื่นหนังสือส่งฟ้องทั้งศาลแพ่ง และศาลอาญา โดยทางศาลอาญาได้รับคำฟ้องแล้ว โดยตนยื่นฟ้องไปใน 3 เรื่องหลัก คือ 1.การถอดชื่อตนออกจากผู้ถือหุ้น โดยตนไม่ยินยอม 2. จำเลยทั้ง 2 คน คือ นายอธิป โชติญาณวงษ์ และนางชัญญา โชติญาณวงษ์ นำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัว ขณะที่ตนไม่เคยได้รับเงินปันผลมาตลอด 4-5 ปี และ 3.กรณีรายได้ในบางสาขาที่ไม่เข้าตรงมาที่บริษัท และเข้าบัญชีส่วนตัวของ 2 จำเลย ขณะที่การยื่นฟ้องทางศาลแพ่งนั้น เป็นการเรียกค่าเสียหายในส่วนของตนที่ควรจะได้ เบื้องต้นฟ้องเรียกไปในหลักสิบล้านบาท นอกจากนี้ยังเตรียมยื่นฟ้องอีก 2 คดี เป็นเรื่องเกี่ยวกับเอกสารที่ไม่ตรงกันเป็นหลัก