ศูนย์ข่าวศรีราชา- ตำรวจพัทยาบุกทลายโกดังขายยาปลุกเซ็กซ์-บุหรี่หนีภาษี และสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ กลางเมืองพัทยา ยึดของกลางมูลค่ากว่า 10 ล้าน
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นำหมายศาลจังหวัดพัทยาที่ ค.377/2554 ลงวันที่ 5 ก.ค.2554 เข้าตรวจค้นบริษัท มาลิส ทราเวล เลขที่ 312/82 ซอยบัวขาว พัทยาใต้ หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง หลังสืบทราบว่าลักลอบจำหน่ายยาต้องห้ามและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์รายใหญ่
จากการตรวจสอบพบนายนาดีม อายุ 40 ปี สัญชาติปากีสถาน เจ้าของบริษัท และพนักงานทั้งชาวไทยและปากีสถาน นั่งอยู่ด้านในจึงควบคุมตัวไว้ ก่อนตรวจค้นด้านหลังตึกแถวที่ด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายยา ด้านในจะมีห้องนิรภัยขนาด 1x3 เมตร มีกระจกบานเลื่อนกดเลขระหัสจากด้านในจึงจะสามารถเปิดได้
ตรวจสอบพบของกลางยาต้องห้ามที่มิให้มีการซื้อขายจำนวนมาก เช่น ยาไวอะกร้า, คามากร้า ทั้งชนิดเม็ดและชนิดเจล, ยานอนหลับ, สารสเตียรอยด์ หรือยากระตุ้นกล้ามเนื้อ, ยาแอ็กติเฟด หรือยาแก้หวัด ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด นอกจากนี้ยังพบบุหรี่หนีภาษียี่ห้อต่างๆ อีกจำนวนมาก และยังตรวจพบ เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าละเมิดลิขสิทธิ์อีกมหาศาล มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท
ต่อมา พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธารา ปุณศรี รอง ผบช.ภ.2 และ พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ได้เดินทางมาร่วมแถลงข่าวพร้อมกับสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตัวเอง โดยนายนาดีม ให้การรับสารภาพว่า เดินทางเข้ามาพักอาศัยอยู่ในเมืองพัทยานับ 10 ปี จนสามารถพูดภาษาไทยได้ ต่อมาจึงเปิดบริษัททัวร์และร้านซักอบรีดบังหน้า พร้อมกับเช่าตึกด้านข้างจำนวน 2 คูหา เพื่อจำหน่ายยาปลุกเซ็กซ์ให้แก่ชาวต่างชาติ โดยซื้อมาจากเพื่อนชาติเดียวกันที่กรุงเทพฯ
พล.ต.ท.ไถงเผยด้วยว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้ลักลอบจำหน่ายยาต้องห้ามมานานแล้ว แต่เนื่องจากผู้ต้องหามีห้องลับไว้เก็บสินค้า จึงทำให้ยากต่อการจับกุม แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะได้ทำการขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนพนักงานต่างชาติในโกดังจะตรวจสอบว่าเข้าราชอาณาจักรถูกต้องหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดก็จะผลักดันออกนอกประเทศต่อไป
เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี นำหมายศาลจังหวัดพัทยาที่ ค.377/2554 ลงวันที่ 5 ก.ค.2554 เข้าตรวจค้นบริษัท มาลิส ทราเวล เลขที่ 312/82 ซอยบัวขาว พัทยาใต้ หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง หลังสืบทราบว่าลักลอบจำหน่ายยาต้องห้ามและสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์รายใหญ่
จากการตรวจสอบพบนายนาดีม อายุ 40 ปี สัญชาติปากีสถาน เจ้าของบริษัท และพนักงานทั้งชาวไทยและปากีสถาน นั่งอยู่ด้านในจึงควบคุมตัวไว้ ก่อนตรวจค้นด้านหลังตึกแถวที่ด้านหน้าเปิดเป็นร้านขายยา ด้านในจะมีห้องนิรภัยขนาด 1x3 เมตร มีกระจกบานเลื่อนกดเลขระหัสจากด้านในจึงจะสามารถเปิดได้
ตรวจสอบพบของกลางยาต้องห้ามที่มิให้มีการซื้อขายจำนวนมาก เช่น ยาไวอะกร้า, คามากร้า ทั้งชนิดเม็ดและชนิดเจล, ยานอนหลับ, สารสเตียรอยด์ หรือยากระตุ้นกล้ามเนื้อ, ยาแอ็กติเฟด หรือยาแก้หวัด ที่ใช้เป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด นอกจากนี้ยังพบบุหรี่หนีภาษียี่ห้อต่างๆ อีกจำนวนมาก และยังตรวจพบ เสื้อผ้า รองเท้า และกระเป๋าละเมิดลิขสิทธิ์อีกมหาศาล มูลค่ารวมกว่า 10 ล้านบาท
ต่อมา พล.ต.ท.ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ภ.2 พล.ต.ต.ธารา ปุณศรี รอง ผบช.ภ.2 และ พ.ต.อ.ธีรพล จินดาหลวง รอง ผบก.ภ.จว.ชลบุรี ได้เดินทางมาร่วมแถลงข่าวพร้อมกับสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตัวเอง โดยนายนาดีม ให้การรับสารภาพว่า เดินทางเข้ามาพักอาศัยอยู่ในเมืองพัทยานับ 10 ปี จนสามารถพูดภาษาไทยได้ ต่อมาจึงเปิดบริษัททัวร์และร้านซักอบรีดบังหน้า พร้อมกับเช่าตึกด้านข้างจำนวน 2 คูหา เพื่อจำหน่ายยาปลุกเซ็กซ์ให้แก่ชาวต่างชาติ โดยซื้อมาจากเพื่อนชาติเดียวกันที่กรุงเทพฯ
พล.ต.ท.ไถงเผยด้วยว่า ผู้ต้องหารายนี้ได้ลักลอบจำหน่ายยาต้องห้ามมานานแล้ว แต่เนื่องจากผู้ต้องหามีห้องลับไว้เก็บสินค้า จึงทำให้ยากต่อการจับกุม แต่ก็ไม่เกินความสามารถของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งจะได้ทำการขยายผลเพื่อจับกุมผู้ร่วมขบวนการและผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป ส่วนพนักงานต่างชาติในโกดังจะตรวจสอบว่าเข้าราชอาณาจักรถูกต้องหรือไม่ หากพบว่ามีความผิดก็จะผลักดันออกนอกประเทศต่อไป