แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาลเปิดเผยว่า ในวันที่ 16 มิ.ย. 54 ทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้ทำจัดโครงการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการองค์กรและปฏิบัติงานของ สลน. ประจำปี 54 โดยจัดให้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศ ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ซึ่งมีกำหนดกลับในวันที่ 23 มิ.ย. โดยใช้ระยะเวลาทั้งสิ้น 1 สัปดาห์
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นมติของคณะกรรมการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสลน. ในการประชุมครั้งที่ 5/2554 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.54 ที่ผ่านมา
แหล่งข่าวระบุอีกว่า โครงการดังกล่าว นางอัญชลี วานิช เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เป็นผู้เซ็นอนุมัติหลักการ การจัดโครงการ โดยใช้งบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายการสัมมนาและฝึกอบรม ซึ่งมีงบประมาณ 1.8 ล้านบาท แต่ทั้งนี้งบฯไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ดังนั้น นางอัญชลี จึงได้อนุมัติงบฯในส่วนของรายจ่ายอื่น ในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีงบอยู่ 80,672,000 บาท โดยแบ่งออกมา เพื่อสมทบงบฯในการใช้จ่ายของโครงการเพิ่ม อีก 6 ล้านบาท ดังนั้น โครงการดังกล่าวได้ใช้เงินทั้งสิ้นประมาณ กว่า 7 ล้านบาท
ทั้งนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานข้าราชการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มศึกษาดูงาน ณ สหพันธรัฐเยอรมันจำนวน 40 คน กลุ่มที่สอง ศึกษาดูงาน ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 60 คน โดยกลุ่มหลังจะเดินทางในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
แหล่งข่าวระบุอีกว่า การเดินทางครั้งนี้จะมีข้าราชการเดินทางไปทั้งหมดจำนวน 40 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการระดับสูงในทำเนียบรัฐบาล เช่น ข้าราชการ ประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการประเภทอำนวยการระดับสูง ข้าราชการประเภทบริหาร ข้าราชการสำนักโฆษก รวมถึงข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ และชำนาญการและประเภททั่วไประดับอาวุโส
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กล่าวว่า โปรแกรมดังกล่าวเป็นโครงการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการองค์การ และปฏิบัติงานของ สลน. โดยนางอัญชลี วานิช เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เซ็นอนุมัติตามกรอบที่เสนอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโครงการนี้ ได้เสนอตามขั้นตอนก่อนที่จะมีการยุบสภา ซึ่งถือว่าในช่วงโอกาสระยะเวลานี้ เป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากข้าราชการสำนักโฆษก แทบไม่มีเวลาในช่วงที่ผ่านมา
" ช่วงกลางเดือนเป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากงานน้อยลง เนื่องจากอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และโครงการนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการหาเสียงของรัฐบาล กับข้าราชการแต่อย่างใด เพราะเป็นโครงการที่มีขั้นตอนการเสนอมานานแล้ว แต่ที่ต้องรีบไปในช่วงนี้ เพราะทันทีที่มีผลการเลือกตั้งเสร็จ คิดว่าจะมีภาระงานที่ยุ่ง เพราะต้องดูเรื่องนโยบายของรัฐบาล และที่สำคัญโครงการนี้ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง ในการตั้งงบประมาณพัฒนาบุคลากร ทั้งการดูงานในประเทศ และต่างประเทศ" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นมติของคณะกรรมการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของสลน. ในการประชุมครั้งที่ 5/2554 เมื่อวันที่ 19 พ.ค.54 ที่ผ่านมา
แหล่งข่าวระบุอีกว่า โครงการดังกล่าว นางอัญชลี วานิช เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เป็นผู้เซ็นอนุมัติหลักการ การจัดโครงการ โดยใช้งบประมาณในส่วนของค่าใช้จ่ายการสัมมนาและฝึกอบรม ซึ่งมีงบประมาณ 1.8 ล้านบาท แต่ทั้งนี้งบฯไม่เพียงพอต่อรายจ่าย ดังนั้น นางอัญชลี จึงได้อนุมัติงบฯในส่วนของรายจ่ายอื่น ในการเดินทางไปราชการต่างประเทศชั่วคราว ของนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีงบอยู่ 80,672,000 บาท โดยแบ่งออกมา เพื่อสมทบงบฯในการใช้จ่ายของโครงการเพิ่ม อีก 6 ล้านบาท ดังนั้น โครงการดังกล่าวได้ใช้เงินทั้งสิ้นประมาณ กว่า 7 ล้านบาท
ทั้งนี้ได้มีการแบ่งกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานข้าราชการ สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มศึกษาดูงาน ณ สหพันธรัฐเยอรมันจำนวน 40 คน กลุ่มที่สอง ศึกษาดูงาน ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน จำนวน 60 คน โดยกลุ่มหลังจะเดินทางในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม
แหล่งข่าวระบุอีกว่า การเดินทางครั้งนี้จะมีข้าราชการเดินทางไปทั้งหมดจำนวน 40 คน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้าราชการระดับสูงในทำเนียบรัฐบาล เช่น ข้าราชการ ประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ และผู้ทรงคุณวุฒิ ข้าราชการประเภทอำนวยการระดับสูง ข้าราชการประเภทบริหาร ข้าราชการสำนักโฆษก รวมถึงข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับชำนาญการพิเศษ และชำนาญการและประเภททั่วไประดับอาวุโส
ด้านนายพงษ์ศักดิ์ ศิริวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กล่าวว่า โปรแกรมดังกล่าวเป็นโครงการพัฒนาสมรรถนะบุคลากร เพื่อเพิ่มศักยภาพการบริหารจัดการองค์การ และปฏิบัติงานของ สลน. โดยนางอัญชลี วานิช เทพบุตร เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้เซ็นอนุมัติตามกรอบที่เสนอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโครงการนี้ ได้เสนอตามขั้นตอนก่อนที่จะมีการยุบสภา ซึ่งถือว่าในช่วงโอกาสระยะเวลานี้ เป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากข้าราชการสำนักโฆษก แทบไม่มีเวลาในช่วงที่ผ่านมา
" ช่วงกลางเดือนเป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากงานน้อยลง เนื่องจากอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง และโครงการนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวเนื่องกับการหาเสียงของรัฐบาล กับข้าราชการแต่อย่างใด เพราะเป็นโครงการที่มีขั้นตอนการเสนอมานานแล้ว แต่ที่ต้องรีบไปในช่วงนี้ เพราะทันทีที่มีผลการเลือกตั้งเสร็จ คิดว่าจะมีภาระงานที่ยุ่ง เพราะต้องดูเรื่องนโยบายของรัฐบาล และที่สำคัญโครงการนี้ก็มีมาอย่างต่อเนื่อง ในการตั้งงบประมาณพัฒนาบุคลากร ทั้งการดูงานในประเทศ และต่างประเทศ" นายพงษ์ศักดิ์ กล่าว