นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)หรือ KEST เปิดเผยว่า ในวันนี้ (1 มิ.ย.) ทางผู้บริหารบล.กิมเอ็ง จะเดินทางไปประเทศสิงคโปร์เพื่อประชุมกับทางผู้ถือหุ้นใหญ่คือ Malayan Banking Berhad (Maybank)เป็นครั้งแรกเพื่อรับทราบนโยบายและทิศทางการบริหารต่อไป ซึ่งทางกลุ่ม Maybankมีเป้าหมายว่าจะเป็นผู้นำสถาบันการเงินในอาเซียนภายในปี 58
โดยKEST คาดว่าจะมีกำไรสุทธิปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 805.59 ล้านบาท แม้ในไตรมาสแรกปี 54 กำไรสุทธิของบริษัทออกมาดี เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวจากปัจจัยทางการเมืองมีความไม่แน่นอน ทำให้คาดการณ์มูลค่าการซื้อขายได้ลำบากแม้ในช่วงต้นปีจะออกมาดี ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ และปัจจัยทางการเมืองยังมีความไม่ชัดเจน จึงทำให้บริษัทมีการคาดการณ์แบบระมัดระวัง
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 นั้น คาดว่าจะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากมูลค่าการซื้อขายปรับตัวสูงกว่าจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มูลค่าการซื้อขายน้อยเพราะเกิดปัญหาทางการเมือง โดยบริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ 12-13% แม้ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 11.27% เพราะ ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วง เดือนกุมภาพันธ์นั้นมีการปรับตัวลดลงมาบ้างแต่บริษัทยังครองมาร์เกตแชร์อันดับ 1 ซึ่งบริษัทคงเป้ามูลค่าการซื้อขายปีนี้คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3.2-3.3 หมื่นล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นที่ 1,234 จุด
นายมนตรีกล่าวว่าคณะกรรมการบริษัทได้เปิดให้ปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ได้เต็ม โดยที่ไม่ได้มีการจำกัดวงเงิน ซึ่งจากช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นดีทำให้ยอดปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท โดยแนวโน้มการปล่อยมาร์จิ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาวะตลาดดี ซึ่งการที่บริษัทกล้าที่จะปล่อยมาร์จิ้นโลนสูง เพราะมองว่าในระบบนั้นมียอดปล่อยมาร์จิ้นโลนน้อยมากเพียง 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับในอดีตที่มีสูงถึง 1.2แสนล้านบาท รวมถึงปัจจุบันทางบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC)ยังปล่อยมาร์จิ้นยังไม่เต็มที่และอัตราดอกเบี้ยยังสูง แต่บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี หากหุ้นไหนมีการปล่อยมาร์จิ้นสูงแล้วบริษัทจะให้ลูกค้าซื้อเงินสดแทน
ทั้งนี้ บริษัทมีงานที่ปรึษาทางการเงินรวมประมาณ 20 ดีล แบ่งเป็นงานควรรวมกิจการ 4-5 ดีล กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 2-3 กอง เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ )3-5 ดีล เสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง 1-2 ดีล และ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ 2-4 ดีล การขายหุ้นกู้ 1-2 ดีล
โดยKEST คาดว่าจะมีกำไรสุทธิปีนี้ใกล้เคียงกับปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 805.59 ล้านบาท แม้ในไตรมาสแรกปี 54 กำไรสุทธิของบริษัทออกมาดี เนื่องจากดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มแกว่งตัวจากปัจจัยทางการเมืองมีความไม่แน่นอน ทำให้คาดการณ์มูลค่าการซื้อขายได้ลำบากแม้ในช่วงต้นปีจะออกมาดี ซึ่งยังไม่สามารถคาดการณ์ได้ และปัจจัยทางการเมืองยังมีความไม่ชัดเจน จึงทำให้บริษัทมีการคาดการณ์แบบระมัดระวัง
สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 นั้น คาดว่าจะออกมาดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน จากมูลค่าการซื้อขายปรับตัวสูงกว่าจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มูลค่าการซื้อขายน้อยเพราะเกิดปัญหาทางการเมือง โดยบริษัทคาดว่าส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) ปีนี้จะอยู่ที่ 12-13% แม้ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 11.27% เพราะ ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วง เดือนกุมภาพันธ์นั้นมีการปรับตัวลดลงมาบ้างแต่บริษัทยังครองมาร์เกตแชร์อันดับ 1 ซึ่งบริษัทคงเป้ามูลค่าการซื้อขายปีนี้คาดว่าจะอยู่ประมาณ 3.2-3.3 หมื่นล้านบาท ดัชนีตลาดหุ้นที่ 1,234 จุด
นายมนตรีกล่าวว่าคณะกรรมการบริษัทได้เปิดให้ปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน)ได้เต็ม โดยที่ไม่ได้มีการจำกัดวงเงิน ซึ่งจากช่วงที่ภาวะตลาดหุ้นดีทำให้ยอดปล่อยมาร์จิ้นโลนของบริษัทอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท โดยแนวโน้มการปล่อยมาร์จิ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาวะตลาดดี ซึ่งการที่บริษัทกล้าที่จะปล่อยมาร์จิ้นโลนสูง เพราะมองว่าในระบบนั้นมียอดปล่อยมาร์จิ้นโลนน้อยมากเพียง 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับในอดีตที่มีสูงถึง 1.2แสนล้านบาท รวมถึงปัจจุบันทางบริษัทหลักทรัพย์เพื่อธุรกิจหลักทรัพย์ จำกัด (TSFC)ยังปล่อยมาร์จิ้นยังไม่เต็มที่และอัตราดอกเบี้ยยังสูง แต่บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี หากหุ้นไหนมีการปล่อยมาร์จิ้นสูงแล้วบริษัทจะให้ลูกค้าซื้อเงินสดแทน
ทั้งนี้ บริษัทมีงานที่ปรึษาทางการเงินรวมประมาณ 20 ดีล แบ่งเป็นงานควรรวมกิจการ 4-5 ดีล กองทุนอสังหาริมทรัพย์ 2-3 กอง เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ )3-5 ดีล เสนอขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง 1-2 ดีล และ ที่ปรึกษาทางการเงินอิสระ 2-4 ดีล การขายหุ้นกู้ 1-2 ดีล