วานนี้(18 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้จัดให้มีการประชุมหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อหารือการกำหนดจำนวนเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งมีหัวหน้าและพรรคการเมืองจำนวน 46 พรรคเข้าร่วมประชุม โดยมีนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง เป็นประธานการประชุม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางกกต.ได้มีการสรุปข้อมูลประกอบการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส.ให้กับหัวหน้าและตัวแทนพรรคการเมืองได้รับทราบ โดยในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วได้มีกำหนดวงเงิน 1.5 ล้านบาท จากนั้นที่ประชุมได้ให้หัวหน้าพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองได้เสนอวงเงินค่าใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่ได้เสนอให้เหมือนเดิมคือ 1.5 ล้านบาท มีเพียง 2 พรรคคือ พรรคพลังชล และพรรคเพื่อไทย เสนอเพิ่มวงเงินจาก 1.5 ล้านบาท เป็น 2 ล้านบาท เนื่องจากนำข้อมูลที่กกตได้สรุปข้อมูลพื้นฐานในเรื่องปัจจัยต่างๆในการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของส.ส. โดยเปรียบเทียบไตรมาสแรกของปีระหว่างเดือน ม.ค.ถึง มี.ค.มีการเพิ่มขึ้นทั้งอัตราค่าจ้างขั้นพื้นฐานขึ้นต่ำเพิ่มขึ้น 11.18% อัตราค่าจ้างขึ้นพื้นฐานขั้นสูง (กทม-ภูเก็ต) 15.17%
นอกจากนี้ยังมีค่าเฉลี่ยของน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้น 29.27%รวมถึงค่าเฉลี่ยราคาไม้อัดขนาด 4 คูณ 8 ฟุต หน้า 4 มิลลิเมตรต่อแผ่นก็เพิ่มขึ้น 21.85 % ทำให้นางสดศรี ระบุว่า จะนำข้อหารือในวันนี้เสนอให้กับนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้พิจารณาและตัดสินใจว่า จะกำหนดวงเงินค่าใช่จ่ายอยู่เท่าใด โดยในวันที่ 19 พ.ค.น่าจะทราบผลที่ชัดเจน อย่างไรตามกกต.ได้มีการกำชับผู้ที่จะลงสมัครตรวจสอบคุณสมบัติการรับสมัครให้พร้อมก่อนมายื่นใบสมัคร พร้อมกับเตรียมค่าสมัครคนละ 5,000 บาท ทั้งนี้แต่ละพรรคจะส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อไม่เกิน 125 คน นอกจากนี้ที่ประชุมยังแจ้งให้ทราบถึงวิธีการขั้นตอนการรับสมัคร การอนุญาตตัวแทนพรรคที่หน้าที่ในการไปสมัครเข้าไปในบริเวณจุดทียื่นใบสมัครไม่เกิน 10 คน ส่วนกองเชียร์ของแต่ละพรรค กกต.จะอนุญาตให้ไม่เกิน 100 คนให้นั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ที่จัดไว้ให้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางกกต.ได้มีการสรุปข้อมูลประกอบการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ส.ส.ให้กับหัวหน้าและตัวแทนพรรคการเมืองได้รับทราบ โดยในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วได้มีกำหนดวงเงิน 1.5 ล้านบาท จากนั้นที่ประชุมได้ให้หัวหน้าพรรคการเมืองและตัวแทนพรรคการเมืองได้เสนอวงเงินค่าใช้จ่าย โดยส่วนใหญ่ได้เสนอให้เหมือนเดิมคือ 1.5 ล้านบาท มีเพียง 2 พรรคคือ พรรคพลังชล และพรรคเพื่อไทย เสนอเพิ่มวงเงินจาก 1.5 ล้านบาท เป็น 2 ล้านบาท เนื่องจากนำข้อมูลที่กกตได้สรุปข้อมูลพื้นฐานในเรื่องปัจจัยต่างๆในการกำหนดวงเงินค่าใช้จ่ายในการหาเสียงของส.ส. โดยเปรียบเทียบไตรมาสแรกของปีระหว่างเดือน ม.ค.ถึง มี.ค.มีการเพิ่มขึ้นทั้งอัตราค่าจ้างขั้นพื้นฐานขึ้นต่ำเพิ่มขึ้น 11.18% อัตราค่าจ้างขึ้นพื้นฐานขั้นสูง (กทม-ภูเก็ต) 15.17%
นอกจากนี้ยังมีค่าเฉลี่ยของน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้น 29.27%รวมถึงค่าเฉลี่ยราคาไม้อัดขนาด 4 คูณ 8 ฟุต หน้า 4 มิลลิเมตรต่อแผ่นก็เพิ่มขึ้น 21.85 % ทำให้นางสดศรี ระบุว่า จะนำข้อหารือในวันนี้เสนอให้กับนายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้พิจารณาและตัดสินใจว่า จะกำหนดวงเงินค่าใช่จ่ายอยู่เท่าใด โดยในวันที่ 19 พ.ค.น่าจะทราบผลที่ชัดเจน อย่างไรตามกกต.ได้มีการกำชับผู้ที่จะลงสมัครตรวจสอบคุณสมบัติการรับสมัครให้พร้อมก่อนมายื่นใบสมัคร พร้อมกับเตรียมค่าสมัครคนละ 5,000 บาท ทั้งนี้แต่ละพรรคจะส่งผู้สมัครแบบบัญชีรายชื่อไม่เกิน 125 คน นอกจากนี้ที่ประชุมยังแจ้งให้ทราบถึงวิธีการขั้นตอนการรับสมัคร การอนุญาตตัวแทนพรรคที่หน้าที่ในการไปสมัครเข้าไปในบริเวณจุดทียื่นใบสมัครไม่เกิน 10 คน ส่วนกองเชียร์ของแต่ละพรรค กกต.จะอนุญาตให้ไม่เกิน 100 คนให้นั่งอยู่ที่อัฒจรรย์ที่จัดไว้ให้
