ASTVผู้จัดการรายวัน – “ที.จี.เอ็ม.” มั่นใจเศรษฐกิจปีนี้สดใส แต่ยังมีแผนสำรองเผื่อพลิกผัน เน้นพัฒนาสินค้าใหม่ เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ขยายฐานสู่กลุ่มฟู้ดเซอร์วิสระดับพรีเมียม พร้อมเพิ่มตลาดส่งออกสัดส่วนเป็น 20% โฟกัสเอเซียเหตุตลาดเติบโตสูง
นางสาวจันทนา พัวพัตนขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เยอรมัน มีท โปรดักท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์แบรนด์ ที.จี.เอ็ม. กล่าวว่า เศรษฐกิจปีนี้ฟื้นตัวไปในทางบวกเมื่อเทียบกับปีที่แล้วถือว่ามีแนวโน้มสดใส สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ระดับบนในช่องทางโมเดิร์นเทรดซึ่งมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เติบโต 20% ต่อปี โดยปัจจุบัน แบรนด์ ที.จี.เอ็ม. มีส่วนแบ่งตลาด 20% อยู่ท็อปทู
อย่างไรก็ตาม ด้วยความกังวลในปัจจัยลบทางการเมืองทำให้ต้องมีแผนการดำเนินงานที่รัดกุม สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทคือการพัฒนาสินค้า เน้นการขยายช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกกับการทำตลาดเชิงรุกเพื่อกระตุ้นยอดขายในประเทศและขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้จะเน้นในแถบเอเซียที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม พม่า กัมพูชา รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มฟู้ดเซซอร์วิส คือโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำ ซึ่งมีช่องว่างตลาดมากเพราะต้องการของพรีเมียมและลดเรื่องการแข่งขันด้านราคา เมื่อเทียบกับสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สินค้าของบริษัทฯจะมีราคาต่ำกว่า ดังนั้นตลาดไฮเอนด์จึงเป็นเป้าหมายหลัก
สำหรับการกระต้นตลาดในประเทศ ได้ลงทุนเพิ่มเรื่องอาร์แอนด์ดีและบรรจุภัณฑ์ มีการเพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่มแอร์ไดร์หรือหมักแห้ง เพิ่มแพคเกจจิ้งสำหรับผลิตภัณฑ์ไส้กรอก แฮม เบคอน เกรดพรีเมียมในไซส์มินิ ออกวางตลาดกว่า 12 รายการ เช่น ไส้กรอกชีสหมู เบคอน คอกเทลรมควันหนังกรอบ เป็นต้น ขนาด 90 กรัม ราคาแพ็คละ 35-45 บาท เริ่มวางจำหน่ายแล้วที่ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต
ทั้งนี้ปีนี้วางงบตลาดไว้ที่ 30 ล้านบาท เพื่อทำการรุกตลาดเต็มที่ ทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การทำตลาด การจัดกิจกรรม โรดโชว์ โปรโมชั่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไตรมาสที่สองนี้มีอัตราการเติบโต 20%
สำหรับโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ ฉะเชิงเทรา ขณะนี้อยู่ระหง่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ หลังจากลงทุนไปกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังผลิตกว่า 2 เท่า จากโรงงานแห่งแรกที่มีกำลังเพียงผลิต 25 ตันต่อวัน เป็น 50 ตันต่อวัน เพื่อรองรับตลาดส่งออกในอนาคตเช่นที่ จีน และญี่ปุ่น ในอีก 3 ปีข้างหน้า และตลาดในแถบอเมริกาและยุโรปในอนาคตด้วย ซึ่งบริษัทฯมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกจาก 10% เป็น 20% ของยอดขาย
นางสาวจันทนา พัวพัตนขจร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทย เยอรมัน มีท โปรดักท์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์แบรนด์ ที.จี.เอ็ม. กล่าวว่า เศรษฐกิจปีนี้ฟื้นตัวไปในทางบวกเมื่อเทียบกับปีที่แล้วถือว่ามีแนวโน้มสดใส สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปเนื้อสัตว์ระดับบนในช่องทางโมเดิร์นเทรดซึ่งมีมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท เติบโต 20% ต่อปี โดยปัจจุบัน แบรนด์ ที.จี.เอ็ม. มีส่วนแบ่งตลาด 20% อยู่ท็อปทู
อย่างไรก็ตาม ด้วยความกังวลในปัจจัยลบทางการเมืองทำให้ต้องมีแผนการดำเนินงานที่รัดกุม สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทคือการพัฒนาสินค้า เน้นการขยายช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกกับการทำตลาดเชิงรุกเพื่อกระตุ้นยอดขายในประเทศและขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้จะเน้นในแถบเอเซียที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็น จีน เวียดนาม พม่า กัมพูชา รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มฟู้ดเซซอร์วิส คือโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำ ซึ่งมีช่องว่างตลาดมากเพราะต้องการของพรีเมียมและลดเรื่องการแข่งขันด้านราคา เมื่อเทียบกับสินค้าที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ สินค้าของบริษัทฯจะมีราคาต่ำกว่า ดังนั้นตลาดไฮเอนด์จึงเป็นเป้าหมายหลัก
สำหรับการกระต้นตลาดในประเทศ ได้ลงทุนเพิ่มเรื่องอาร์แอนด์ดีและบรรจุภัณฑ์ มีการเพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่มแอร์ไดร์หรือหมักแห้ง เพิ่มแพคเกจจิ้งสำหรับผลิตภัณฑ์ไส้กรอก แฮม เบคอน เกรดพรีเมียมในไซส์มินิ ออกวางตลาดกว่า 12 รายการ เช่น ไส้กรอกชีสหมู เบคอน คอกเทลรมควันหนังกรอบ เป็นต้น ขนาด 90 กรัม ราคาแพ็คละ 35-45 บาท เริ่มวางจำหน่ายแล้วที่ท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต
ทั้งนี้ปีนี้วางงบตลาดไว้ที่ 30 ล้านบาท เพื่อทำการรุกตลาดเต็มที่ ทั้งบีโลว์เดอะไลน์และอะโบฟเดอะไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ การทำตลาด การจัดกิจกรรม โรดโชว์ โปรโมชั่น เป็นต้น โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไตรมาสที่สองนี้มีอัตราการเติบโต 20%
สำหรับโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมอุตสาหกรรมเวลโกรว์ ฉะเชิงเทรา ขณะนี้อยู่ระหง่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีนี้ หลังจากลงทุนไปกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้เพิ่มกำลังผลิตกว่า 2 เท่า จากโรงงานแห่งแรกที่มีกำลังเพียงผลิต 25 ตันต่อวัน เป็น 50 ตันต่อวัน เพื่อรองรับตลาดส่งออกในอนาคตเช่นที่ จีน และญี่ปุ่น ในอีก 3 ปีข้างหน้า และตลาดในแถบอเมริกาและยุโรปในอนาคตด้วย ซึ่งบริษัทฯมีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนการส่งออกจาก 10% เป็น 20% ของยอดขาย