นางสาวปาริชาต ศิลปอาชา กรรมการผู้จัดการ Enlighten Yoga เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มงบประมาณกว่า 10 ล้านบาทในการเปิดสตูดิโอโยคะ “Enlighten Yoga” ภายใต้คอนเซป “The Art of Beautiful Health” ผู้สร้างสรรค์สุขภาพดีทุกรูปแบบด้วยศาสตร์แห่งโยคะ ณ บริเวณชั้น 4 ศูนย์การค้า Paradise Park บนพื้นที่ 322 ตารางเมตร โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนพฤษภาคมนี้
การลงทุนในครั้งนี้มาจากปัจจัยหลายประการประกอบด้วย ประการแรก เพื่อเป็นการส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยหันมาตระหนักเรื่องสุขภาพ ทั้งร่างกายและจิตใจ ประการที่สอง เพื่อร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสำคัญเรื่องของโยคะ อันจะเป็นการเพิ่มจุดขายในการท่องเที่ยวอีกด้านหนึ่ง ประการที่สามเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมชื่อเสียงการยกระดับโยคะของไทยให้เป็นที่แพร่หลายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
“ทั้งนี้ Enlighten Yoga ถือเป็นสตูดิโอโยคะมาตรฐานระดับพรีเมี่ยมแห่งใหม่บนย่านถนนศรีนครินทร์ ซึ่งแตกต่างจากสตูดิโอโยคะทั่วไปที่จะกระจุกตัวอยู่ในใจกลางเมือง เนื่องจากบริเวณนี้ยังไม่มีโยคะแบบสตูดิโอขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มลูกค้าในโซนนี้ค่อนข้างมีกำลังซื้อสูงไม่แพ้ในเมือง โดยจุดเด่นจะเน้นความใส่ใจลูกค้าโดยละเอียด ครูผู้สอนจะมีความใส่ใจ มีการการแนะนำคอร์สต่างๆ ที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้าแต่ละรายตามความเหมาะสมทั้งสรีระ โดยคาดว่าภายในปีแรกจะมีส่วนแบ่งการตลาด 5-10 % หรือประมาณ 50 ล้านบาทจากตลาดโยคะในประเทศทั้งหมด”
โดยรูปแบบการเรียนประกอบด้วย โยคะธรรมดาและโยคะร้อน ซึ่งโยคะ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ Beginner, Immediate และ Advance ราคาเริ่มต้นที่ 500 บาท/ครั้ง แพ็คเกจรายเดือน(10 ครั้ง) ราคา 3,500 บาท แพ็คเกจ 3 เดือน(50 ครั้ง)ราคา 13,250 บาทแพ็คเกจ 6 เดือน ราคา 22,500 บาท(ไม่จำกัด) และแพ็คเกจ 1 ปี ราคา 39,800 บาท (ไม่จำกัด)
ส่วนระยะต่อมาในช่วงปลายปีมีแผนที่จะนำเข้าเครื่องPilates เพื่อสร้างความหลากหลายอีกด้วย สำหรับในช่วงแนะนำมีการจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อโปรโมทและรับสมัครสมาชิก โดยในเบื้องต้นจะมีการโรดโชว์ตามสถานที่ต่างๆ ได้แก่ พาราไดซ์ พาร์ค สวนหลวงร.9 โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน สถานศึกษาบริเวณใกล้เคียง โดยมีโปรโมชั่นพิเศษ Unlimited 1,000 บาท/10 วัน ในช่วงโรดโชว์เพื่อกระตุ้นยอดขาย สำหรับเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
นอกจากนี้ลูกค้าสามารถตัดคูปองจากแม็กกาซีน newsletter ของห้าง paradise park ทดลองใช้บริการฟรี 1 ครั้ง รวมทั้งจับมือกับรถไฟฟ้าบีทีเอาจัดโปรโมชั่นลดราคา 10% สำหรับลูกค้าบีทีเอส เพื่อแค่โชว์บัตรบีทีเอสในทุกคอร์ส พร้อมทั้งมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ Ensogo.com เพื่อกระตุ้นยอดขาย หลังจากนั้นจะมีการจัดโปรโมชั่นตามเทศกาลและกิจกรรมต่างๆตลอดทั้งปี
นางสาวปาริชาต กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในช่วงแรก จะเป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทยบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงบนถนนศรีนครินทร์โดยรอบ Paradise Park รัศมี 5 กิโลเมตรโดยรอบ ประกอบด้วย หมู่บ้านและคอนโด 16 แห่ง มหาวิทยาลัย 4 แห่ง โรงเรียน 24 แห่ง อาคารสำนักงาน 8 แห่ง สถานที่ราชการ 4 แห่ง โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังพบว่ายังมีคนสูงอายุอยากเรียนโยคะสำหรับผู้ใหญ่ แต่ไม่มีสถานที่บริเวณนั้น โดยส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 50 – 60 เป็นแม่บ้าน, ผู้ปลดเกษียณแล้วอีกด้วย ขณะที่ในปีหน้าจะสามารถขยับกลุ่มลูกค้าต่างชาติให้ได้ถึง 30%
“สำหรับตลาดรวมธุรกิจออกกำลังกายทั้งหมดในประเทศปัจจุบันมีประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท เจาะเฉพาะตลาดธุรกิจออกกำลังกายประเภทโยคะในเมืองไทยอยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพด้ายการออกกำลังกายมากขึ้น จากการสำรวจพบว่าคนไทยมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ (เฉลี่ย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์)จำนวนประมาณ 1-2 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด ขณะที่ประเทศอื่น อาทิ สิงคโปร์ที่มีสัดส่วน 6% ออสเตรเลียและสหรัฐที่มีสัดส่วนมากกว่า 15% แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจึงยังมีโอกาสเติบโตในด้านธุรกิจนี้ได้อีกมาก”
การลงทุนในครั้งนี้มาจากปัจจัยหลายประการประกอบด้วย ประการแรก เพื่อเป็นการส่งเสริมและรณรงค์ให้คนไทยหันมาตระหนักเรื่องสุขภาพ ทั้งร่างกายและจิตใจ ประการที่สอง เพื่อร่วมในการส่งเสริมการท่องเที่ยว เนื่องจากปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ความสำคัญเรื่องของโยคะ อันจะเป็นการเพิ่มจุดขายในการท่องเที่ยวอีกด้านหนึ่ง ประการที่สามเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมชื่อเสียงการยกระดับโยคะของไทยให้เป็นที่แพร่หลายทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
“ทั้งนี้ Enlighten Yoga ถือเป็นสตูดิโอโยคะมาตรฐานระดับพรีเมี่ยมแห่งใหม่บนย่านถนนศรีนครินทร์ ซึ่งแตกต่างจากสตูดิโอโยคะทั่วไปที่จะกระจุกตัวอยู่ในใจกลางเมือง เนื่องจากบริเวณนี้ยังไม่มีโยคะแบบสตูดิโอขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มลูกค้าในโซนนี้ค่อนข้างมีกำลังซื้อสูงไม่แพ้ในเมือง โดยจุดเด่นจะเน้นความใส่ใจลูกค้าโดยละเอียด ครูผู้สอนจะมีความใส่ใจ มีการการแนะนำคอร์สต่างๆ ที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้าแต่ละรายตามความเหมาะสมทั้งสรีระ โดยคาดว่าภายในปีแรกจะมีส่วนแบ่งการตลาด 5-10 % หรือประมาณ 50 ล้านบาทจากตลาดโยคะในประเทศทั้งหมด”
โดยรูปแบบการเรียนประกอบด้วย โยคะธรรมดาและโยคะร้อน ซึ่งโยคะ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ Beginner, Immediate และ Advance ราคาเริ่มต้นที่ 500 บาท/ครั้ง แพ็คเกจรายเดือน(10 ครั้ง) ราคา 3,500 บาท แพ็คเกจ 3 เดือน(50 ครั้ง)ราคา 13,250 บาทแพ็คเกจ 6 เดือน ราคา 22,500 บาท(ไม่จำกัด) และแพ็คเกจ 1 ปี ราคา 39,800 บาท (ไม่จำกัด)
ส่วนระยะต่อมาในช่วงปลายปีมีแผนที่จะนำเข้าเครื่องPilates เพื่อสร้างความหลากหลายอีกด้วย สำหรับในช่วงแนะนำมีการจัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อโปรโมทและรับสมัครสมาชิก โดยในเบื้องต้นจะมีการโรดโชว์ตามสถานที่ต่างๆ ได้แก่ พาราไดซ์ พาร์ค สวนหลวงร.9 โรงพยาบาล อาคารสำนักงาน สถานศึกษาบริเวณใกล้เคียง โดยมีโปรโมชั่นพิเศษ Unlimited 1,000 บาท/10 วัน ในช่วงโรดโชว์เพื่อกระตุ้นยอดขาย สำหรับเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
นอกจากนี้ลูกค้าสามารถตัดคูปองจากแม็กกาซีน newsletter ของห้าง paradise park ทดลองใช้บริการฟรี 1 ครั้ง รวมทั้งจับมือกับรถไฟฟ้าบีทีเอาจัดโปรโมชั่นลดราคา 10% สำหรับลูกค้าบีทีเอส เพื่อแค่โชว์บัตรบีทีเอสในทุกคอร์ส พร้อมทั้งมีการจัดโปรโมชั่นพิเศษผ่านสื่อออนไลน์ อาทิ Ensogo.com เพื่อกระตุ้นยอดขาย หลังจากนั้นจะมีการจัดโปรโมชั่นตามเทศกาลและกิจกรรมต่างๆตลอดทั้งปี
นางสาวปาริชาต กล่าวต่อว่า กลุ่มลูกค้าเป้าหมายในช่วงแรก จะเป็นกลุ่มลูกค้าชาวไทยบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงบนถนนศรีนครินทร์โดยรอบ Paradise Park รัศมี 5 กิโลเมตรโดยรอบ ประกอบด้วย หมู่บ้านและคอนโด 16 แห่ง มหาวิทยาลัย 4 แห่ง โรงเรียน 24 แห่ง อาคารสำนักงาน 8 แห่ง สถานที่ราชการ 4 แห่ง โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ยังพบว่ายังมีคนสูงอายุอยากเรียนโยคะสำหรับผู้ใหญ่ แต่ไม่มีสถานที่บริเวณนั้น โดยส่วนใหญ่อายุเฉลี่ย 50 – 60 เป็นแม่บ้าน, ผู้ปลดเกษียณแล้วอีกด้วย ขณะที่ในปีหน้าจะสามารถขยับกลุ่มลูกค้าต่างชาติให้ได้ถึง 30%
“สำหรับตลาดรวมธุรกิจออกกำลังกายทั้งหมดในประเทศปัจจุบันมีประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท เจาะเฉพาะตลาดธุรกิจออกกำลังกายประเภทโยคะในเมืองไทยอยู่ที่ประมาณ 400-500 ล้านบาท ประกอบกับแนวโน้มคนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพด้ายการออกกำลังกายมากขึ้น จากการสำรวจพบว่าคนไทยมีการออกกำลังกายสม่ำเสมอ (เฉลี่ย 3-4 ครั้งต่ออาทิตย์)จำนวนประมาณ 1-2 % ของจำนวนประชากรทั้งหมด ขณะที่ประเทศอื่น อาทิ สิงคโปร์ที่มีสัดส่วน 6% ออสเตรเลียและสหรัฐที่มีสัดส่วนมากกว่า 15% แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยจึงยังมีโอกาสเติบโตในด้านธุรกิจนี้ได้อีกมาก”