ASTVผู้จัดการรายวัน-แกรมมี่จับมือเอสเอสเอช ไอ นอร์เดน เอบีผุดบริษัท จีเอ็มเอ็ม รีแอกทีฟเอเชีย ต่อยอดลุยตลาดเพลงโลก พัฒนานักแต่งเพลงไทยสู่ระดับอินเตอร์ พร้อมบริหารสิทธิ์งานดนตรีกรรมใน 4ประเทศเอเชีย ทั้ง ไทย เวียดนาม มาเลเซีย จีน คาด 3ปี รายได้ทะลุ 100 ล้านบาท
นายสุรชัย เสนศรี กรรมการผู้จัดการ สายงานจีเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกในปี2553มีมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 48,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ด้านงานดนตรีกรรม หรือลิขสิทธิ์คำร้องและทำนองเพลงประมาณ 10% ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยเฉพาะการบริหารสิทธิ์เมื่อนำเพลงไปประกอบภาพนิ่ง หรือโฆษณา ขณะที่ตัวเลขในส่วนของซีดีและวีซีดีเพลงตกลงเรื่อยๆและดิจิตอลกำลังเข้ามาแทนที่
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทางบริษัทจึงได้จับมือกับทางบริษัท เอสเอสเอช ไอ นอร์เดน เอบี ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสิทธิ์คำร้องและทำนองเพลง ที่อยู่ภายใต้บริษัท อิมาเกม จัดตั้งบริษัท จีเอ็มเอ็ม รีแอกทีฟเอเชีย จำกัด ถือหุ้นฝ่ายละ 50% เพื่อบริหารสิทธิ์คำร้องและทำนองเพลงในเอเชีย เบื้องต้นมี 4 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย เวียดนามและจีน จะเริ่มเก็บค่าลิขสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1ก.ค.นี้เป็นต้นไป คาดว่าภายใน3 ปี จะมีรายได้ราว 100 ล้านบาท
โดยรายได้มาจาก3กลุ่ม คือ 1.รายได้ที่เป็นส่วนแบ่งคืนจากการค้า ประเภทซีดีและวีซีดี หรือดิจิตอล มิวสิค 2.รายได้ที่เป็นส่วนแบ่งจากการจัดเก็บค่าเผยแพร่เพื่อการค้า โดยองค์กรในประเทศ และ3.รายได้ที่เกิดจากการนำเพลงไปใช้ประกอบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เช่น นำไปประกอบภาพยนตร์ ละคร โฆษณา เป็นต้น
การร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยต่อยอดรายได้ให้ทางแกรมมี่ ช่วยพัฒนาให้กลุ่มนักแต่งเพลงของทางบริษัทก้าวไปสู่ระดับอินเตอร์ได้ ในการแต่งเพลงให้กับศิลปินต่างประเทศ รวมถึงเป็นการนำเพลงของแกรมมี่ออกไปตลาดต่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยพัฒนาเพลง โดยเฉพาะกลุ่มเพลงป็อบแดนซ์ของแกรมมี่ให้ได้รับความนิยมสูงขึ้น
ในส่วนของ สายงานจีเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ปีที่ผ่านมามีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% เพราะปีนี้ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศลาวเพิ่มขึ้น
ด้านนายซานจิ พี.ทานเดน ประธานกรรมการ บริษัท เอสเอสเอช ไอ นอร์เดน เอบี ประเทศสวีเดน กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายชื่อลิขสิทธิ์เพลงประมาณ 3-4 แสนเพลง เชื่อว่าในปี2012จะเพิ่มเป็น 1 ล้านเพลง ขณะที่ลิขสิทธิ์เพลงที่แต่งเองนั้นมีราว 1,500 เพลง โดยการที่เน้นในเอเชียนั้น เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีประชากรเด็กหรือวัยรุ่นสูง ดังนั้นอุตสาหกรรมเพลงจึงมีแนวโน้มที่ดีตามไปด้วย
นายสุรชัย เสนศรี กรรมการผู้จัดการ สายงานจีเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกในปี2553มีมูลค่าประมาณ 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 48,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าลิขสิทธิ์ด้านงานดนตรีกรรม หรือลิขสิทธิ์คำร้องและทำนองเพลงประมาณ 10% ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตขึ้น โดยเฉพาะการบริหารสิทธิ์เมื่อนำเพลงไปประกอบภาพนิ่ง หรือโฆษณา ขณะที่ตัวเลขในส่วนของซีดีและวีซีดีเพลงตกลงเรื่อยๆและดิจิตอลกำลังเข้ามาแทนที่
จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทางบริษัทจึงได้จับมือกับทางบริษัท เอสเอสเอช ไอ นอร์เดน เอบี ประเทศสวีเดน ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสิทธิ์คำร้องและทำนองเพลง ที่อยู่ภายใต้บริษัท อิมาเกม จัดตั้งบริษัท จีเอ็มเอ็ม รีแอกทีฟเอเชีย จำกัด ถือหุ้นฝ่ายละ 50% เพื่อบริหารสิทธิ์คำร้องและทำนองเพลงในเอเชีย เบื้องต้นมี 4 ประเทศ คือ ไทย มาเลเซีย เวียดนามและจีน จะเริ่มเก็บค่าลิขสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 1ก.ค.นี้เป็นต้นไป คาดว่าภายใน3 ปี จะมีรายได้ราว 100 ล้านบาท
โดยรายได้มาจาก3กลุ่ม คือ 1.รายได้ที่เป็นส่วนแบ่งคืนจากการค้า ประเภทซีดีและวีซีดี หรือดิจิตอล มิวสิค 2.รายได้ที่เป็นส่วนแบ่งจากการจัดเก็บค่าเผยแพร่เพื่อการค้า โดยองค์กรในประเทศ และ3.รายได้ที่เกิดจากการนำเพลงไปใช้ประกอบภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว เช่น นำไปประกอบภาพยนตร์ ละคร โฆษณา เป็นต้น
การร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยต่อยอดรายได้ให้ทางแกรมมี่ ช่วยพัฒนาให้กลุ่มนักแต่งเพลงของทางบริษัทก้าวไปสู่ระดับอินเตอร์ได้ ในการแต่งเพลงให้กับศิลปินต่างประเทศ รวมถึงเป็นการนำเพลงของแกรมมี่ออกไปตลาดต่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะเดียวกันยังช่วยพัฒนาเพลง โดยเฉพาะกลุ่มเพลงป็อบแดนซ์ของแกรมมี่ให้ได้รับความนิยมสูงขึ้น
ในส่วนของ สายงานจีเอ็มเอ็ม อินเตอร์เนชั่นแนล ปีที่ผ่านมามีรายได้ประมาณ 100 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโต 10% เพราะปีนี้ได้เข้าไปทำตลาดในประเทศลาวเพิ่มขึ้น
ด้านนายซานจิ พี.ทานเดน ประธานกรรมการ บริษัท เอสเอสเอช ไอ นอร์เดน เอบี ประเทศสวีเดน กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายชื่อลิขสิทธิ์เพลงประมาณ 3-4 แสนเพลง เชื่อว่าในปี2012จะเพิ่มเป็น 1 ล้านเพลง ขณะที่ลิขสิทธิ์เพลงที่แต่งเองนั้นมีราว 1,500 เพลง โดยการที่เน้นในเอเชียนั้น เพราะเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีประชากรเด็กหรือวัยรุ่นสูง ดังนั้นอุตสาหกรรมเพลงจึงมีแนวโน้มที่ดีตามไปด้วย
