สื่อนอกบ้านกระเตื้อง หลังหดตัวมา 2-3 ปี อานิสงส์การเลือกตั้ง คาดไตรมาสสองโตอีก 20% ขนส่งมวลชนขยายตัว ไฮเปอร์มาร์เก็ตบูม ส่งทั้งปีโตแน่ 15% “คินเนติค” ชูผลวิจัยพฤติกรรมผู้บริโภคกับโอกาสของสื่อนอกบ้าน เชื่อส่งตลาดโตลูกค้าหันมาใช้มากขึ้น มั่นใจรายได้รวมปีนี้โต 10% จาก1,500 ล้านในปีก่อน
นายสุรเชษฐ์ บำรุงสุข ผู้จัดการ บริษัท คินเนติค เวิล์ดไวด์ (ประเทศไทย)จำกัด ในเครือ ดับบลิวพีพี เปิดเผยว่า ภาพรวมสื่อนอกบ้าน (เอาท์ ออฟ โฮม) ที่ประกอบด้วย สื่อเอาท์ดอร์ ทรานซิท และอินสโตร์ ในปีนี้จะกลับมามีการเติบโตได้ถึง 15% หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตลดลง เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านสูงขึ้น ทำให้โอกาสในการมองเห็นสื่อนอกบ้านสูงตาม 2.ระบบขนส่งมวลชน ทั้ง ขสมก. และรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน และ บีทีเอส มีการขยายตัว
และ3.การเติบโตของไฮเปอร์มาร์เก็ต ในโมเดลขนาดเล็กปีนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา สื่อนอกบ้าน มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นกว่า 12.8% คิดเป็นมูลค่า 1,659 ล้านบาท โดยเอาท์ดอร์โต 9.6%, ทรานซิทโต 12.7% และอินสโตร์โต 26.9%
ทั้งนี้ในไตรมาสสอง ยังมีเรื่องของการเลือกตั้งเข้ามาเป็นปัจจัยบวกที่จะส่งผลให้สื่อนอกบ้าน โดยเฉพาะเอาท์ดอร์แบบดิจิตอลมีเพิ่มสูงขึ้น เชื่อว่าใน 3 เดือนนี้ สื่อนอกบ้านจะเติบโตขึ้นจากปกติอีกอย่างน้อย 15-20% และถ้าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองแล้ว ปีนี้ทั้งปีมั่นใจว่า สื่อนอกบ้านจะมีการเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 15% จาก 7,000 ล้านบาท ที่ทำได้ในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัท ได้จัดทำผลวิจัยในหัวข้อ “Moving World” ขึ้น ถือเป็นครั้งแรกของการจัดทำผลวิจัยเกี่ยวกับสื่อนอกบ้าน กับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน จากกลุ่มผู้บริโภคในกรุงเทพฯและปริมณฑลกว่า 1,042 คน อายุ 15-54ปี พบว่า เฉลี่ยในวันธรรมดา คนไทยใช้ชีวิตนอกบ้านประมาณ 8.9ชม./วัน คิดเป็น 51%ใน1วัน และต่อวันใช้เวลาเฉลี่ยบนยานพาหนะ 1.2-1.4ชม. โดยกลุ่มอายุ15-19ปี ใช้บริการขนส่งมวลชนเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังพบว่า ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตนอกบ้าน จะคิดถึงร้านอาหาร ชอปปิ้ง และฟาสท์ฟู้ด ขณะที่ห้างสรรพสินค้าในใจ5 อันดับแรก คือ เซ็นทรัล เทสโก้โลตัส บิ๊กซี เดอะมอลล์/พารากอน และ โรบินสัน ตามลำดับ ซึ่งจากผลวิจัยนี้ จะเป็นข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้สื่อนอกบ้านได้อย่างแม่นยำและเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงจุดมากขึ้น อีกทั้งยังเชื่อว่าจะทำให้เกิดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆที่สนใจใช้สื่อนอกบ้านเพิ่มขึ้นมาด้วย มั่นใจว่าจะเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้คินเนติคปีนี้เติบโตได้อย่างน้อย 10-15% จาก 1,500 ล้านบาทในปีก่อน ที่โต 12%
นายสุรเชษฐ์ บำรุงสุข ผู้จัดการ บริษัท คินเนติค เวิล์ดไวด์ (ประเทศไทย)จำกัด ในเครือ ดับบลิวพีพี เปิดเผยว่า ภาพรวมสื่อนอกบ้าน (เอาท์ ออฟ โฮม) ที่ประกอบด้วย สื่อเอาท์ดอร์ ทรานซิท และอินสโตร์ ในปีนี้จะกลับมามีการเติบโตได้ถึง 15% หลังจาก 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตลดลง เนื่องจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.พฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้ชีวิตนอกบ้านสูงขึ้น ทำให้โอกาสในการมองเห็นสื่อนอกบ้านสูงตาม 2.ระบบขนส่งมวลชน ทั้ง ขสมก. และรถไฟฟ้าทั้งใต้ดิน และ บีทีเอส มีการขยายตัว
และ3.การเติบโตของไฮเปอร์มาร์เก็ต ในโมเดลขนาดเล็กปีนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา สื่อนอกบ้าน มีอัตราการเติบโตสูงขึ้นกว่า 12.8% คิดเป็นมูลค่า 1,659 ล้านบาท โดยเอาท์ดอร์โต 9.6%, ทรานซิทโต 12.7% และอินสโตร์โต 26.9%
ทั้งนี้ในไตรมาสสอง ยังมีเรื่องของการเลือกตั้งเข้ามาเป็นปัจจัยบวกที่จะส่งผลให้สื่อนอกบ้าน โดยเฉพาะเอาท์ดอร์แบบดิจิตอลมีเพิ่มสูงขึ้น เชื่อว่าใน 3 เดือนนี้ สื่อนอกบ้านจะเติบโตขึ้นจากปกติอีกอย่างน้อย 15-20% และถ้าไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองแล้ว ปีนี้ทั้งปีมั่นใจว่า สื่อนอกบ้านจะมีการเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่า 15% จาก 7,000 ล้านบาท ที่ทำได้ในปีก่อน
อย่างไรก็ตาม บริษัท ได้จัดทำผลวิจัยในหัวข้อ “Moving World” ขึ้น ถือเป็นครั้งแรกของการจัดทำผลวิจัยเกี่ยวกับสื่อนอกบ้าน กับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน จากกลุ่มผู้บริโภคในกรุงเทพฯและปริมณฑลกว่า 1,042 คน อายุ 15-54ปี พบว่า เฉลี่ยในวันธรรมดา คนไทยใช้ชีวิตนอกบ้านประมาณ 8.9ชม./วัน คิดเป็น 51%ใน1วัน และต่อวันใช้เวลาเฉลี่ยบนยานพาหนะ 1.2-1.4ชม. โดยกลุ่มอายุ15-19ปี ใช้บริการขนส่งมวลชนเป็นหลัก
นอกจากนี้ยังพบว่า ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตนอกบ้าน จะคิดถึงร้านอาหาร ชอปปิ้ง และฟาสท์ฟู้ด ขณะที่ห้างสรรพสินค้าในใจ5 อันดับแรก คือ เซ็นทรัล เทสโก้โลตัส บิ๊กซี เดอะมอลล์/พารากอน และ โรบินสัน ตามลำดับ ซึ่งจากผลวิจัยนี้ จะเป็นข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้สื่อนอกบ้านได้อย่างแม่นยำและเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงจุดมากขึ้น อีกทั้งยังเชื่อว่าจะทำให้เกิดกลุ่มลูกค้าใหม่ๆที่สนใจใช้สื่อนอกบ้านเพิ่มขึ้นมาด้วย มั่นใจว่าจะเป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้คินเนติคปีนี้เติบโตได้อย่างน้อย 10-15% จาก 1,500 ล้านบาทในปีก่อน ที่โต 12%