ASTVผู้จัดการรายวัน – เศรษฐกิจรุ่งส่งตลาดไอศกรีมโต 20% “เมอเวนพิค” มั่นใจปีนี้โตไม่ต่ำกว่า 50% เหตุเพิ่มช่องทางขายผ่านซูเปอร์มาร์เก็ตอีก 20 แห่ง ย้ำไม่ขึ้นราคา แม้ต้นทุนพุ่ง อากาศแปรปรวน
นายพีรภูมิ ปราบอริพ่าย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ไอศกรีมเมอเวนพิค บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีมากสำหรับภาพรวมตลาดไอศกรีม ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนไปบ้างก็ตามในช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าทั้งปีจะมีการเติบโตได้ถึง 20% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่กลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเป็นสำคัญ
ทั้งนี้มองว่าในกลุ่มไอศกรีมระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม เป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตมากที่สุด เพราะยอดขายไม่ได้อิงกับฤดูกาลขายอย่างไอศกรีมทั่วไป โดยในส่วนของเมอเวนพิคเองนั้น มั่นใจว่าปีนี้จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึง 50% จากปีก่อนมีการเติบโตที่ 40%
โดยปัจจัยที่ทำให้ปีนี้มีการเติบโตมากกว่าปีก่อน คือ การเพิ่มช่องทางขายในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเทพฯกว่า 20 แห่ง เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการซื้อไปรับประทานที่บ้าน จากเดิมมีช่องทางขายหลักเพียง 2 ทาง คือ โรงแรม และร้านอาหาร พร้อมทั้งปีนี้มีการใช้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาทมากกว่าปีก่อนเท่าตัว
ในการนำมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น พร้อมเพิ่มรสชาติใหม่อีก 2-3 รสชาติ จากปัจจุบันมีวางจำหน่ายในไทยแล้ว 10 รสชาติ
อย่างไรก็ตามมองว่า หากต้นทุนยังพุ่งสูงขึ้นอาจจะมีผลต่อการปรับราคาสินค้าในอนาคต จากปัจจุบันยังไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาสินค้าแต่อย่างไร และมองว่าหากสภาพอากาศยังแปรปรวนต่อไปอีกนั้น จะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าที่จะนำเข้ามาต่อไปในอนาคต
นายพีรภูมิ ปราบอริพ่าย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ไอศกรีมเมอเวนพิค บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ถือเป็นปีที่ดีมากสำหรับภาพรวมตลาดไอศกรีม ถึงแม้ว่าสภาพอากาศจะแปรปรวนไปบ้างก็ตามในช่วงที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าทั้งปีจะมีการเติบโตได้ถึง 20% เป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีที่กลับมาเติบโตอีกครั้ง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวเป็นสำคัญ
ทั้งนี้มองว่าในกลุ่มไอศกรีมระดับซูเปอร์พรีเมี่ยม เป็นตลาดที่มีโอกาสในการเติบโตมากที่สุด เพราะยอดขายไม่ได้อิงกับฤดูกาลขายอย่างไอศกรีมทั่วไป โดยในส่วนของเมอเวนพิคเองนั้น มั่นใจว่าปีนี้จะมีการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึง 50% จากปีก่อนมีการเติบโตที่ 40%
โดยปัจจัยที่ทำให้ปีนี้มีการเติบโตมากกว่าปีก่อน คือ การเพิ่มช่องทางขายในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตในกรุงเทพฯกว่า 20 แห่ง เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการซื้อไปรับประทานที่บ้าน จากเดิมมีช่องทางขายหลักเพียง 2 ทาง คือ โรงแรม และร้านอาหาร พร้อมทั้งปีนี้มีการใช้งบการตลาดกว่า 10 ล้านบาทมากกว่าปีก่อนเท่าตัว
ในการนำมาจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น พร้อมเพิ่มรสชาติใหม่อีก 2-3 รสชาติ จากปัจจุบันมีวางจำหน่ายในไทยแล้ว 10 รสชาติ
อย่างไรก็ตามมองว่า หากต้นทุนยังพุ่งสูงขึ้นอาจจะมีผลต่อการปรับราคาสินค้าในอนาคต จากปัจจุบันยังไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาสินค้าแต่อย่างไร และมองว่าหากสภาพอากาศยังแปรปรวนต่อไปอีกนั้น จะส่งผลกระทบต่อการขนส่งสินค้าที่จะนำเข้ามาต่อไปในอนาคต
