นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการ บริษัท ไทยสโตเรจ แบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ BAT-3K และรองประธานอาวุโส บริษัท ผลิตภัณฑ์ 3 เค จำกัด กล่าวว่าในไตรมาส4/53 บริษัทมีรายได้ 1,655.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.20% จากไตรมาสเดียวกันปี542 และมีกำไรสุทธิ 113.08 ล้านบาท ทำให้รายได้ทั้งปีที่ผ่านมาขยายตัวดีกว่าเป็ที่ตั้งไว้ 4,500 ล้านบาท เป็น5,300 ล้านบาท ตามยอดขายและส่วนแบ่งททางการตลาดทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการออกสินค้าใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว นั่นคือ 3K V-SERIES ที่มีฝาปิดสนิท100% ไม่มีช่องเติมน้ำกลั่น
"แบตเตอรี่รุ่นใหม่ เราได้ผลิตครอบคลุมตลาดแบตเตอรี่รถยนค์นั่งทุกประเภท ซึ่งเป็นการขยายกำลังการผลิตของบริษัท โดยสามารถผลิตแบตเตอรี่ใหม่นี้ได้ถึง 7 หมื่นลูกต่อเดือน จากำลังผลิตทั้งหมด 350,000 ลูกต่อเดือน ซึ่งแบตเตอรี่ใหม่นี้จะส่งออกไปจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ หลังจากช่วงแรกได้ทดลองตลาดในประเทศพบว่ามียอดจำหน่ายดีกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป "
นายวีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้กำไรสุทธิในปี2553 จะลดลง 97.70 ล้านบาท หรือ 32.05% โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลง7.94%จากปีก่อนหน้า จากราคาต้นทุนตะกั่วบริสุทธิ์ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักเพิ่มสูงขึ้น และบริษัทสามารถปรับขึ้นราคาขายได้ในช่วงกลางปี2553 แต่บริษัทยังครองผู้นำตลาดแบตเตอรี่รถยนต์แบบทดแทนในประเทศเอาไว้ โดยจะพยายามรักษามาร์เกตแชร์ไว้ที่ 30%
"เราเพิ่มงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเอาไว้เป็น90ล้านบาท เพื่อรองรับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น "
ด้านนางสาววีรวรรณ ขอไพบูลย์ รองประธานอาวุโส สายงานบริหาร BAT-3K กล่าวถึงตลาดในต่าสงประเทศว่า ในปี53 บริษัทสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 2,249.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.34% จากปี52 เป็นผลจากการขยายฐานลูกค้าในประเทศใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศในแทบยุโรป และการขยายสัดส่วนการตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทส่งออกสินค้าไปเพื่อจำหน่ายแล้วกว่า 50 ประเทศ
ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่า ผลประกอบการในไตรมาส1/54นี้ จะเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ ส่วนทั้งปีน่าจะขยายตัวเพิ่มจากปีก่อนอย่างน้อย 10% โดยปัจจัยสำคัญมาจากการเพิ่มยอดขายทั้งในและต่างประเทศ
"แบตเตอรี่รุ่นใหม่ เราได้ผลิตครอบคลุมตลาดแบตเตอรี่รถยนค์นั่งทุกประเภท ซึ่งเป็นการขยายกำลังการผลิตของบริษัท โดยสามารถผลิตแบตเตอรี่ใหม่นี้ได้ถึง 7 หมื่นลูกต่อเดือน จากำลังผลิตทั้งหมด 350,000 ลูกต่อเดือน ซึ่งแบตเตอรี่ใหม่นี้จะส่งออกไปจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ หลังจากช่วงแรกได้ทดลองตลาดในประเทศพบว่ามียอดจำหน่ายดีกว่าแบตเตอรี่ทั่วไป "
นายวีรวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้กำไรสุทธิในปี2553 จะลดลง 97.70 ล้านบาท หรือ 32.05% โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับตัวลง7.94%จากปีก่อนหน้า จากราคาต้นทุนตะกั่วบริสุทธิ์ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักเพิ่มสูงขึ้น และบริษัทสามารถปรับขึ้นราคาขายได้ในช่วงกลางปี2553 แต่บริษัทยังครองผู้นำตลาดแบตเตอรี่รถยนต์แบบทดแทนในประเทศเอาไว้ โดยจะพยายามรักษามาร์เกตแชร์ไว้ที่ 30%
"เราเพิ่มงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมการตลาดและส่งเสริมการขายเอาไว้เป็น90ล้านบาท เพื่อรองรับการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้น "
ด้านนางสาววีรวรรณ ขอไพบูลย์ รองประธานอาวุโส สายงานบริหาร BAT-3K กล่าวถึงตลาดในต่าสงประเทศว่า ในปี53 บริษัทสามารถทำยอดขายได้สูงถึง 2,249.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.34% จากปี52 เป็นผลจากการขยายฐานลูกค้าในประเทศใหม่ๆโดยเฉพาะประเทศในแทบยุโรป และการขยายสัดส่วนการตลาดในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบัน บริษัทส่งออกสินค้าไปเพื่อจำหน่ายแล้วกว่า 50 ประเทศ
ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่า ผลประกอบการในไตรมาส1/54นี้ จะเติบโตได้ตามเป้าที่วางไว้ ส่วนทั้งปีน่าจะขยายตัวเพิ่มจากปีก่อนอย่างน้อย 10% โดยปัจจัยสำคัญมาจากการเพิ่มยอดขายทั้งในและต่างประเทศ