ASTVผู้จัดการรายวัน -“วสิษฐ์”ตั้งทีมอิสระสอบ"เทศกิจโคตรโกง" ด้าน ปลัดกทม.เล็งส่งต่อป.ป.ช. ฟัน หากพบใบเสร็จปลอม "เขตบางรัก" มีมูล ตะลึง!หลักฐานกทม.กว่า 30 เขต มีปลอมลักษณะเดียวกัน ทำยอดค่าปรับ 100 ล้านหด ปูด "จตุจักร-พญาไท" โกงมากกว่า"บางรัก"
วานนี้(25 มี.ค.) พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบในการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (สสท.กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมถึงกรณีที่นายทวิชภณ บุญมายน อายุ 50 ปีหัวหน้าฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตบางรัก ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อกองบัญชาการสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่เทศกิจ เขตบางรักปลอมใบเสร็จเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าในเขตบางรักว่า ส่วนตัวมีแนวคิดเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระ ซึ่งเป็นบุคคลจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ กทม.เข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเตรียมเสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.กฎหมายเพื่อควบคุมการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ โดยเห็นว่าหากมีการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมาแล้วประกาศให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตั้งกรรมการอิสระสอบสวน จะเป็นการดึงเรื่องเพื่อช่วยเหลือกันหรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะถ้าออกเป็นกฎหมายเมื่อไร จะเป็นบรรทัดฐานดำเนินการ ไม่ใช่การช่วยเหลือกัน
ด้านนายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ ปลัดกทม. กล่าวว่า เพื่อเป็นการกู้ภาพลักษณ์ กทม.จะเร่งหาความจริงและดำเนินการกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งโยกย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องออกไป แต่หากมีการร้องขอมีจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบุคคลดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบก็พร้อมพิจารณาทันที
“ระหว่างนี้กำลังตรวจสอบใบเสร็จปลอมของเทศกิจที่ร้องเรียนอยู่ว่าเป็นของจริงหรือไม่ และยังไม่ได้ประสานหรือรับรายงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีมีข้าราชการ ระดับ 5-9 มีส่วนเกี่ยวข้อง" นายเจริญรัตน์ กล่าว
ขณะที่นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า หากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีใบเสร็จปลอมที่สำนักงานเขตบางรักได้ตั้งขึ้นซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 เมษายนนั้น หากพบว่ามีมูลทางกทม.ก็จะส่งเรื่องต่อให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อไป
แหล่งข่าวระดับสูงใน กทม.เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นพบการกระทำผิดในลักษณะใบเสร็จปลอม ทั้งเขตพญาไท จตุจักร ในตลาดนัดจตุจักร อนุสาวรีย์ชัยซึ่งจะมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง คาดว่ามีสำนักงานเขตที่มีการ กระทำในลักษณะนี้ จำนวน 30 สำนักงานเขต เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่ายอดรวมจากการเก็บค่าปรับของสำนักงานเขตทั้ง กทม. ลดลงจากปีที่แล้ว จากเดิมกว่า 100 ล้านบาท เหลือ 90 ล้านบาทเท่านั้น.
วานนี้(25 มี.ค.) พล.ต.อ.วสิษฐ์ เดชกุญชร ประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบในการบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (สสท.กทม.) เปิดเผยภายหลังการประชุมถึงกรณีที่นายทวิชภณ บุญมายน อายุ 50 ปีหัวหน้าฝ่ายเทศกิจ สำนักงานเขตบางรัก ได้เข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อกองบัญชาการสอบสวนกลาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่เทศกิจ เขตบางรักปลอมใบเสร็จเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าในเขตบางรักว่า ส่วนตัวมีแนวคิดเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระ ซึ่งเป็นบุคคลจากภายนอกเข้ามาตรวจสอบ โดยไม่มีเจ้าหน้าที่ กทม.เข้ามาเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังเตรียมเสนอเป็นร่าง พ.ร.บ.กฎหมายเพื่อควบคุมการกระทำผิดของเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานของรัฐ โดยเห็นว่าหากมีการร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ขึ้นมาแล้วประกาศให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย
ผู้สื่อข่าวถามว่าการตั้งกรรมการอิสระสอบสวน จะเป็นการดึงเรื่องเพื่อช่วยเหลือกันหรือไม่ พล.ต.อ.วสิษฐ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกัน เพราะถ้าออกเป็นกฎหมายเมื่อไร จะเป็นบรรทัดฐานดำเนินการ ไม่ใช่การช่วยเหลือกัน
ด้านนายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ ปลัดกทม. กล่าวว่า เพื่อเป็นการกู้ภาพลักษณ์ กทม.จะเร่งหาความจริงและดำเนินการกับผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งโยกย้ายผู้ที่เกี่ยวข้องออกไป แต่หากมีการร้องขอมีจากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าบุคคลดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบก็พร้อมพิจารณาทันที
“ระหว่างนี้กำลังตรวจสอบใบเสร็จปลอมของเทศกิจที่ร้องเรียนอยู่ว่าเป็นของจริงหรือไม่ และยังไม่ได้ประสานหรือรับรายงานกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ กรณีมีข้าราชการ ระดับ 5-9 มีส่วนเกี่ยวข้อง" นายเจริญรัตน์ กล่าว
ขณะที่นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯกทม. กล่าวว่า หากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีใบเสร็จปลอมที่สำนักงานเขตบางรักได้ตั้งขึ้นซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 2 เมษายนนั้น หากพบว่ามีมูลทางกทม.ก็จะส่งเรื่องต่อให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ตรวจสอบต่อไป
แหล่งข่าวระดับสูงใน กทม.เปิดเผยว่า ในเบื้องต้นพบการกระทำผิดในลักษณะใบเสร็จปลอม ทั้งเขตพญาไท จตุจักร ในตลาดนัดจตุจักร อนุสาวรีย์ชัยซึ่งจะมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง คาดว่ามีสำนักงานเขตที่มีการ กระทำในลักษณะนี้ จำนวน 30 สำนักงานเขต เพราะมีการตั้งข้อสังเกตว่ายอดรวมจากการเก็บค่าปรับของสำนักงานเขตทั้ง กทม. ลดลงจากปีที่แล้ว จากเดิมกว่า 100 ล้านบาท เหลือ 90 ล้านบาทเท่านั้น.
