นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการนัดพบกันของส.ส.พรรคภูมิใจไทย และส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา ก่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจหนึ่งวัน คือวันที่ 14 มี.ค.นี้ว่า เป็นเรื่องธรรมดาสองพรรคคุยกันมาตลอด ทั้ง 2 พรรคจับมือกันเป็นพันธมิตรทางการเมือง
เมื่อถามว่า แสดงว่าจากนี้ต่อไปทั้งสองพรรคจะไปไหนไปด้วยกัน ใช่หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ทำเพื่อเป็นตัวแปรจัดตั้งรัฐบาลรอบหน้า แต่เป็นตัวแปรความปรองดองกับประเทศชาติ เราก็จับกันอยู่สองพรรค
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีการส่งสัญญาณอะไร เป็นเพียงไปรับประทานกัน ในฐานะคนใกล้ชิดสนิทสนมเท่านั้น เชื่อไม่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เคลือบแคลงใจ
ส่วนจะเป็นการจะจับมือร่วมกันทางการเมืองหรือไม่นั้น ตนไม่รู้ เพราะอย่างที่รู้ การเมืองมีอะไรไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ทางการเมืองว่าจะร่วมมือกันได้หรือไม่
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เป็นการรับประทานอาหารเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกทั้ง 2 พรรค เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งพรรค 2 พรรค มีแนวความคิด และร่วมกันทำงานทางการเมืองหลายๆ อย่าง ทั้งในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน และการร่วมลงชื่อการนิรโทษกรรม 109 คน ส่วนจะเป็นการจับมือเพื่อร่วมมือกันทำงานทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่จะพูดจากัน ซึ่งในทางการเมืองทุกอย่างเป็นไปได้หมด
อย่างไรก็ตามตนยังมองว่าหลังการเลือกตั้ง พรรคเล็กยังเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะไม่เชื่อว่าพรรคใดพรรคหนึ่งจะได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ยังต้องอาศัยพรรคเล็กในการจัดตั้งรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) มีนัดรับประทานอาหารร่วมกันในวันจันทร์ที่ 14 มี.ค. จะมีนัยยะอะไรหรือไม่ ว่า "ก็ได้ทานข้าวด้วยกัน"
ผู้สื่อข่าวถามว่าทั้งสองพรรคจับมือกันเพื่อต่อรองอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่หรอกครับ เพราะแต่ละพรรคการเมืองเขาก็มีสิทธิ์ที่จะปรึกษาหารือ พูดคุยกันหรือจะจับมือกัน ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เมื่อถามต่อว่าจะทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะอำนาจการต่อรองนั้นจะอยู่ ที่คะแนนเสียงของประชาชนให้มา
เมื่อถามว่าในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ภายหลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีปัญหาอะไร ขณะนี้คิดว่าทุกพรรคได้เตรียมการสำหรับเลือกตั้ง และคงต้องรอดูผลหลังการเลือกตั้ง เมื่อถามต่อว่ามองอย่างไรถึงโอกาสที่จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มันก็อยู่ที่ประชาชน
เมื่อถามว่า แสดงว่าจากนี้ต่อไปทั้งสองพรรคจะไปไหนไปด้วยกัน ใช่หรือไม่ นายชวรัตน์ กล่าวว่า คงจะเป็นอย่างนั้น แต่ไม่ใช่ทำเพื่อเป็นตัวแปรจัดตั้งรัฐบาลรอบหน้า แต่เป็นตัวแปรความปรองดองกับประเทศชาติ เราก็จับกันอยู่สองพรรค
นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีการส่งสัญญาณอะไร เป็นเพียงไปรับประทานกัน ในฐานะคนใกล้ชิดสนิทสนมเท่านั้น เชื่อไม่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เคลือบแคลงใจ
ส่วนจะเป็นการจะจับมือร่วมกันทางการเมืองหรือไม่นั้น ตนไม่รู้ เพราะอย่างที่รู้ การเมืองมีอะไรไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับอุดมการณ์ทางการเมืองว่าจะร่วมมือกันได้หรือไม่
นายวัชระ กรรณิการ์ โฆษกพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า เป็นการรับประทานอาหารเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกทั้ง 2 พรรค เนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งพรรค 2 พรรค มีแนวความคิด และร่วมกันทำงานทางการเมืองหลายๆ อย่าง ทั้งในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน และการร่วมลงชื่อการนิรโทษกรรม 109 คน ส่วนจะเป็นการจับมือเพื่อร่วมมือกันทำงานทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ที่จะพูดจากัน ซึ่งในทางการเมืองทุกอย่างเป็นไปได้หมด
อย่างไรก็ตามตนยังมองว่าหลังการเลือกตั้ง พรรคเล็กยังเป็นตัวแปรสำคัญ เพราะไม่เชื่อว่าพรรคใดพรรคหนึ่งจะได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ยังต้องอาศัยพรรคเล็กในการจัดตั้งรัฐบาล
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) มีนัดรับประทานอาหารร่วมกันในวันจันทร์ที่ 14 มี.ค. จะมีนัยยะอะไรหรือไม่ ว่า "ก็ได้ทานข้าวด้วยกัน"
ผู้สื่อข่าวถามว่าทั้งสองพรรคจับมือกันเพื่อต่อรองอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่หรอกครับ เพราะแต่ละพรรคการเมืองเขาก็มีสิทธิ์ที่จะปรึกษาหารือ พูดคุยกันหรือจะจับมือกัน ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เมื่อถามต่อว่าจะทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองมากขึ้น หลังการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ทราบ เพราะอำนาจการต่อรองนั้นจะอยู่ ที่คะแนนเสียงของประชาชนให้มา
เมื่อถามว่าในส่วนของพรรคร่วมรัฐบาล ภายหลังจากมีการเลือกตั้งแล้ว จะมีโอกาสเป็นไปได้หรือไม่ ในการกลับมาจัดตั้งรัฐบาลร่วมกันอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังไม่มีปัญหาอะไร ขณะนี้คิดว่าทุกพรรคได้เตรียมการสำหรับเลือกตั้ง และคงต้องรอดูผลหลังการเลือกตั้ง เมื่อถามต่อว่ามองอย่างไรถึงโอกาสที่จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มันก็อยู่ที่ประชาชน
