“วิธีการป้องกันประเทศ อันเป็นหน้าที่สำคัญของทหารเปลี่ยนแปลงไป เพื่อที่จะให้ประเทศอยู่รอดได้ ตามหลักเดิมก็พูดถึงว่า ทหารจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อป้องกันเป็นรั้วของชาติ แต่รั้วของชาติ แม้แต่ในสมัยก่อนๆ นี้ก็เป็นเช่นนั้น แต่ไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น
มาสมัยนี้ก็เห็นรั้วของชาติ ไม่ได้อยู่ที่ตามรั้วตามชายแดนเท่านั้นเอง มันอยู่ทั่ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายกำลังทางพื้นดินเท่านั้นเอง ต้องมีการยกขึ้นไปบนฟ้า ข้ามแดนทางฟ้าทางอากาศ แล้วก็ยังมีการขุดมุดใต้ดิน โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ อย่างนี้ก็มี ทั้งผู้ที่เข้ามาผ่านประตูรั้ว ไม่ใช่ในภูเขาเท่านั้นเอง แต่มาตามทางที่เข้าสะดวก
ฉะนั้น การป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากอันตรายจึงเพิ่มขึ้น และนอกจากมาทางฟ้าก็ตาม ทางพื้นดินก็ตาม ใต้ดินก็ตาม หรือทางทะเล ก็ยังมาทางอื่นคล้ายๆ ปาฏิหาริย์โผล่ขึ้นมาเฉยๆ เหมือนว่าเข้ามาถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถที่จะป้องกัน คือ เข้ามาทางสมอง ทางความคิด อาจไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลเท่าไร แต่ว่าในความคิดที่อาจเรียกว่าเป็นผีร้าย มันเข้ามาในสมองของคนแต่ละคน ทั้งทหาร ทั้งคนอื่นๆ ได้
ยุคนี้ที่เป็นผี ผีที่เป็นพิษนี้เข้ามาโดยอาศัยจิตใจของทุกคน จิตใจนี้อาจชอบฟังคำเยินยอก็ตาม จิตใจนี้อาจชอบยืนสบายก็ตาม ก็อาจเป็นช่องดังกล่าวที่เห็นยากและอันตรายที่สุด”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... พระราชทานเป็นการเฉพาะแก่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์ และนายทหาร นักเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 57 ในโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาบุหลัน ทักษิณราชนิเวศน์ วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2522
พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า บังอาจอัญเชิญพระบรมราโชวาทมาพูดถึงเรื่องทหารผีหรือผีทหารหรือผีในกองทัพแห่งชาติ แทนที่จะพูดถึงเรื่องหลัก คือ หน้าที่สำคัญของทหารตามพระราชดำรัส
มูลเหตุจูงใจไม่มีอะไรมากกว่าต้องการพูดให้พี่น้องทหารได้ตระหนักในหน้าที่สำคัญของตนทั้งสองอย่าง คือหน้าที่ในกองทัพภายใต้องค์พระประมุขในฐานะจอมทัพแห่งชาติไทย และหน้าที่ในฐานะเป็นพลเมืองหรือปวงชนภายใต้องค์พระประมุขของปวงชนชาวไทย ซึ่งไม่บังเอิญเลยที่เป็นพระองค์เดียวกัน
ทั้งนี้เพราะในทางทฤษฎี ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นประมุขของอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการอีกด้วย
แต่ในทางปฏิบัติ อำนาจอธิปไตยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ชนชั้นปกครองได้แย่งชิง เบียดบัง ขโมยและปล้นเอาอำนาจเหล่านี้ไปจากพระมหากษัตริย์จนเกือบหมด
ระบอบการปกครองประเทศไทยปัจจุบันในความเป็นจริงภาคปฏิบัติที่เรียกว่า de facto นั้น เป็นการปกครองแบบคณาธิปไตยเผด็จการ ที่ได้ไปหลอกชาวโลกเขาเกือบทั้งหมด รวมทั้งปวงชนชาวไทยว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพราะสักแต่ว่าเรามีการเลือกตั้ง
ในจีน ในเกาหลีเหนือ ในแอฟริกา รัสเซีย และหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนีของฮิตเลอร์ ฟิลิปปินส์ของมาร์กอส คิวบาของคาสโตร ก็ล้วนแต่มีการเลือกตั้งทั้งสิ้น
ฉันใดฉันนั้น คือประเทศไทย
โครงสร้าง องค์ประกอบและระบบพฤติกรรมของระบอบการเมืองไทยตั้งแต่ 2475 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา เป็นคณาธิปไตยเผด็จการสมบูรณ์แบบ อันมีองค์ประกอบหลักสำคัญคือทหารการเมือง บวกกับ นักการเมืองซื้อการเลือกตั้ง แยกกันหรือรวมกัน แต่ส่วนใหญ่ซ่องสุมเสพสมด้วยกัน ทำการผูกขาด “สมบัติผลัดกันชม” มาจนถึงขณะที่เขียนบทความนี้
ยุทธศาสตร์หลักของระบบคณาธิปไตยเผด็จการ คือ การคอร์รัปชันอำนาจ และนำอำนาจนั้นมาทุจริตคดโกงปล้นชาติปล้นแผ่นดินสูบกินเลือดเนื้อประชาชน โดยอาศัยระบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นปกครองสำคัญคือทหาร ตำรวจ และข้าราชการฝ่ายปกครองเป็นเครื่องมือ
ผู้เขียนขอวิงวอนให้ท่านผู้อ่าน ทั้งที่เป็นทหารและพี่น้องครอบครัวของทหาร ได้ตั้งใจอ่านพระราชดำรัสข้างบนนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ นำไปวิพากษ์วิจารณ์และพูดกันให้เข้าใจอย่างตรงไปตรงมา เพราะในวันที่ทรงพระราชทานพระราชดำรัสนั้นเป็นยุคของรัฐบาลพลเอกเปรม ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อสัตย์ของแผ่นดิน แต่ในปี 2523 คือยุคของรัฐบาลเปรม 3 นั่นเอง อาทิตย์อุทัยของระบบคณาธิปไตยเผด็จการได้เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นในแผ่นดินไทย อาจจะเป็นเพราะแสงอันแรงกล้าก็เป็นได้ แม้แต่พลเอกเปรมและปูชนียบุคคลของแผ่นดินทั้งหลายทั้งมวลจึงพากันมองไม่เห็น ยิ่งซ้ำร้ายแสงวิเศษนั้นได้ทำลายสายตาของสื่อและนักวิชาการเกือบจะหมดสิ้นประเทศไทย คือ พวกที่สวดบทเพลงสรรเสริญว่าเราจำเริญเป็นประชาธิปไตยดีอยู่แล้ว เลือกตั้งบ่อยๆ ก็จะเข้ารูปเอง
ในฉบับนี้ เพราะเวลาและหน้ากระดาษจำกัด ผู้เขียนจะไม่เขียนอะไรมาก นอกจากจะย้ำความจริงในประวัติศาสตร์ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากกองทัพแห่งชาติ อันประกอบด้วยผู้นำและกำลังพลที่เป็นทหารอาชีพ ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน และในประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ก็ปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างเข้าใจ เต็มใจและเต็มภาคภูมิ
หากกองทัพแห่งชาติกลายเป็นอื่น ทั้งประชาธิปไตยและสถาบันกษัตริย์ก็ไม่มีทางดำรงอยู่ได้
โปรดอ่านพระราชดำรัสให้ดี แล้วช่วยกันตอบเอาเองว่า
ขณะนี้ ผีเขมรหรือผีห่าตัวใดสิงอยู่ในใจของผู้นำเหล่านั้นคนใดหรือไม่
และโปรดสำรวจดูว่ายังมีผีการเมืองตัวใด รูปร่างอย่างไร สิงสู่อยู่ในบรรดาแม่ทัพนายกองคนใด กลุ่มใด หรือรุ่นใดหรือไม่
แล้วเราจะได้พูดความจริงกันให้หมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องซื้ออาวุธ เรื่องเลื่อนยศปลดย้าย และเรื่องทหารคุ้มครองการเมืองคณาธิปไตย ฯลฯ
มาสมัยนี้ก็เห็นรั้วของชาติ ไม่ได้อยู่ที่ตามรั้วตามชายแดนเท่านั้นเอง มันอยู่ทั่ว เพราะว่าเดี๋ยวนี้ไม่ใช่การเคลื่อนย้ายกำลังทางพื้นดินเท่านั้นเอง ต้องมีการยกขึ้นไปบนฟ้า ข้ามแดนทางฟ้าทางอากาศ แล้วก็ยังมีการขุดมุดใต้ดิน โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่ทราบ อย่างนี้ก็มี ทั้งผู้ที่เข้ามาผ่านประตูรั้ว ไม่ใช่ในภูเขาเท่านั้นเอง แต่มาตามทางที่เข้าสะดวก
ฉะนั้น การป้องกันประเทศให้รอดพ้นจากอันตรายจึงเพิ่มขึ้น และนอกจากมาทางฟ้าก็ตาม ทางพื้นดินก็ตาม ใต้ดินก็ตาม หรือทางทะเล ก็ยังมาทางอื่นคล้ายๆ ปาฏิหาริย์โผล่ขึ้นมาเฉยๆ เหมือนว่าเข้ามาถูกต้องตามกฎหมายบ้านเมือง และกฎหมายบ้านเมืองไม่สามารถที่จะป้องกัน คือ เข้ามาทางสมอง ทางความคิด อาจไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลังพลเท่าไร แต่ว่าในความคิดที่อาจเรียกว่าเป็นผีร้าย มันเข้ามาในสมองของคนแต่ละคน ทั้งทหาร ทั้งคนอื่นๆ ได้
ยุคนี้ที่เป็นผี ผีที่เป็นพิษนี้เข้ามาโดยอาศัยจิตใจของทุกคน จิตใจนี้อาจชอบฟังคำเยินยอก็ตาม จิตใจนี้อาจชอบยืนสบายก็ตาม ก็อาจเป็นช่องดังกล่าวที่เห็นยากและอันตรายที่สุด”
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว... พระราชทานเป็นการเฉพาะแก่ผู้บังคับบัญชา อาจารย์ และนายทหาร นักเรียนโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ 57 ในโอกาสเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ณ ศาลาบุหลัน ทักษิณราชนิเวศน์ วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พุทธศักราช 2522
พระราชอาญาไม่พ้นเกล้า บังอาจอัญเชิญพระบรมราโชวาทมาพูดถึงเรื่องทหารผีหรือผีทหารหรือผีในกองทัพแห่งชาติ แทนที่จะพูดถึงเรื่องหลัก คือ หน้าที่สำคัญของทหารตามพระราชดำรัส
มูลเหตุจูงใจไม่มีอะไรมากกว่าต้องการพูดให้พี่น้องทหารได้ตระหนักในหน้าที่สำคัญของตนทั้งสองอย่าง คือหน้าที่ในกองทัพภายใต้องค์พระประมุขในฐานะจอมทัพแห่งชาติไทย และหน้าที่ในฐานะเป็นพลเมืองหรือปวงชนภายใต้องค์พระประมุขของปวงชนชาวไทย ซึ่งไม่บังเอิญเลยที่เป็นพระองค์เดียวกัน
ทั้งนี้เพราะในทางทฤษฎี ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นประมุขของอำนาจอธิปไตยทั้ง 3 คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการอีกด้วย
แต่ในทางปฏิบัติ อำนาจอธิปไตยโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เป็นต้นมา ชนชั้นปกครองได้แย่งชิง เบียดบัง ขโมยและปล้นเอาอำนาจเหล่านี้ไปจากพระมหากษัตริย์จนเกือบหมด
ระบอบการปกครองประเทศไทยปัจจุบันในความเป็นจริงภาคปฏิบัติที่เรียกว่า de facto นั้น เป็นการปกครองแบบคณาธิปไตยเผด็จการ ที่ได้ไปหลอกชาวโลกเขาเกือบทั้งหมด รวมทั้งปวงชนชาวไทยว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และเพราะสักแต่ว่าเรามีการเลือกตั้ง
ในจีน ในเกาหลีเหนือ ในแอฟริกา รัสเซีย และหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยอรมนีของฮิตเลอร์ ฟิลิปปินส์ของมาร์กอส คิวบาของคาสโตร ก็ล้วนแต่มีการเลือกตั้งทั้งสิ้น
ฉันใดฉันนั้น คือประเทศไทย
โครงสร้าง องค์ประกอบและระบบพฤติกรรมของระบอบการเมืองไทยตั้งแต่ 2475 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา เป็นคณาธิปไตยเผด็จการสมบูรณ์แบบ อันมีองค์ประกอบหลักสำคัญคือทหารการเมือง บวกกับ นักการเมืองซื้อการเลือกตั้ง แยกกันหรือรวมกัน แต่ส่วนใหญ่ซ่องสุมเสพสมด้วยกัน ทำการผูกขาด “สมบัติผลัดกันชม” มาจนถึงขณะที่เขียนบทความนี้
ยุทธศาสตร์หลักของระบบคณาธิปไตยเผด็จการ คือ การคอร์รัปชันอำนาจ และนำอำนาจนั้นมาทุจริตคดโกงปล้นชาติปล้นแผ่นดินสูบกินเลือดเนื้อประชาชน โดยอาศัยระบบราชการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นปกครองสำคัญคือทหาร ตำรวจ และข้าราชการฝ่ายปกครองเป็นเครื่องมือ
ผู้เขียนขอวิงวอนให้ท่านผู้อ่าน ทั้งที่เป็นทหารและพี่น้องครอบครัวของทหาร ได้ตั้งใจอ่านพระราชดำรัสข้างบนนี้อย่างพินิจพิเคราะห์ นำไปวิพากษ์วิจารณ์และพูดกันให้เข้าใจอย่างตรงไปตรงมา เพราะในวันที่ทรงพระราชทานพระราชดำรัสนั้นเป็นยุคของรัฐบาลพลเอกเปรม ที่ได้ชื่อว่าเป็นคนซื่อสัตย์ของแผ่นดิน แต่ในปี 2523 คือยุคของรัฐบาลเปรม 3 นั่นเอง อาทิตย์อุทัยของระบบคณาธิปไตยเผด็จการได้เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นในแผ่นดินไทย อาจจะเป็นเพราะแสงอันแรงกล้าก็เป็นได้ แม้แต่พลเอกเปรมและปูชนียบุคคลของแผ่นดินทั้งหลายทั้งมวลจึงพากันมองไม่เห็น ยิ่งซ้ำร้ายแสงวิเศษนั้นได้ทำลายสายตาของสื่อและนักวิชาการเกือบจะหมดสิ้นประเทศไทย คือ พวกที่สวดบทเพลงสรรเสริญว่าเราจำเริญเป็นประชาธิปไตยดีอยู่แล้ว เลือกตั้งบ่อยๆ ก็จะเข้ารูปเอง
ในฉบับนี้ เพราะเวลาและหน้ากระดาษจำกัด ผู้เขียนจะไม่เขียนอะไรมาก นอกจากจะย้ำความจริงในประวัติศาสตร์ว่า ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากกองทัพแห่งชาติ อันประกอบด้วยผู้นำและกำลังพลที่เป็นทหารอาชีพ ทำหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพทางการเมืองของประชาชน และในประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ก็ปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างเข้าใจ เต็มใจและเต็มภาคภูมิ
หากกองทัพแห่งชาติกลายเป็นอื่น ทั้งประชาธิปไตยและสถาบันกษัตริย์ก็ไม่มีทางดำรงอยู่ได้
โปรดอ่านพระราชดำรัสให้ดี แล้วช่วยกันตอบเอาเองว่า
ขณะนี้ ผีเขมรหรือผีห่าตัวใดสิงอยู่ในใจของผู้นำเหล่านั้นคนใดหรือไม่
และโปรดสำรวจดูว่ายังมีผีการเมืองตัวใด รูปร่างอย่างไร สิงสู่อยู่ในบรรดาแม่ทัพนายกองคนใด กลุ่มใด หรือรุ่นใดหรือไม่
แล้วเราจะได้พูดความจริงกันให้หมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องซื้ออาวุธ เรื่องเลื่อนยศปลดย้าย และเรื่องทหารคุ้มครองการเมืองคณาธิปไตย ฯลฯ