00 บรรยากาศบ้านเมืองยามนี้เริ่มกลับมาสู่ภาวะอึมครึมมากขึ้นเรื่อยๆอีกแล้ว ลักษณะของคนที่มีอำนาจ ทั้งนักการเมืองและข้าราชการต่างแบ่งกลุ่ม “แทงกั๊ก” รักษาสถานภาพตัวเองเอาไว้ให้ดีที่สุด “ไม่ได้ทำหน้าที่” ของตัวเองให้ดีที่สุดตามพระราชดำรัส เพราะแต่ละคนล้วนมีเป้าหมายเพื่อประคองตัว “เอาตัวรอด” ไปวันๆเท่านั้น
00 มีการประเมินกันว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะยุบสภาในราวเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมอย่างแน่นอน หรืออาจเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะสถานการณ์หลายอย่างเริ่มรุมเร้าบีบบังคับเข้ามาทุกขณะแม้ว่าหากถามเจ้าตัวเวลานี้คงเปลี่ยนใจอยากยื้อให้นานที่สุดก็ตาม โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ทำสถิติสูงขึ้นรายวัน เป็นตัวเร่งให้ “ข้าวของแพง” มหาโหด ขณะที่ “การบริหารจัดการ” ที่มาร์คชอบพูดให้ดูดี แต่ผลที่ออกมามัน “ห่วยแตก” นี่แหละที่เป็นแรงบีบทำให้รัฐบาลรีบยุบสภาให้เร็วขึ้น
00 กลายเป็นว่าเวลานี้ราคาสินค้าหลักยกเว้น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ที่ราคาดี นอกนั้นที่คิดว่าจะขายได้กำไรบ้างอย่างเช่น ข้าว กลายเป็นราคาลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ หรือแม้แต่มะนาวหน้าแล้ง ก็ขายไม่ได้ ถูกข้าวเขมร มะนาวเวียดนามเข้ามาตีตลาดจนกระจุย ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าโอกาสที่ปชป.จะใช้วิธีเฉพาะหน้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกรอบเพื่อรองรับการเลือกตั้งโดยเฉพาะก็เป็นไปได้สูง ส่วนจะออกมาเป็นแค่ความรู้สึกทางจิตวิทยา นั่นคือ “จิ๊บจ๊อย” แต่ก็เกิดความรู้สึกว่าขึ้นไปแล้ว
00 ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งปัญหาข้าวของแพงมันยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้ “ทักษิณ ชินวัตร” กับเครือข่ายมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เพราะในเมื่อฝั่งประชาธิปัตย์เริ่มกลับมาบอบซ้ำจากสารพัดปัญหาที่ล้มเหลว มันก็ช่วยไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทยที่ไม่ต้องลงทุนมากนักกลับ “ได้กำไร” ไปเต็มๆ ถามว่าถ้ายุบสภาในลักษณะแบบนี้คิดหรือว่า มาร์ค และประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบ ในสภาพที่ชาวบ้านเขาเห็นธาตุแท้แล้วว่า “ของปลอม” เป็นแค่หุ่นเชิดแล้วมันจะสนับสนุนทำไม
00 ขณะที่ อภิสิทธิ์ ขาลง อีกด้านหนึ่งมันก็มีโอกาส สวิงกลับไปที่พรรคเพื่อไทยทันที เพราะหนึ่งฐานเดิมที่มีทั้งคนเสื้อแดง และคนรักทักษิณ ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่ฝ่ายประชาธิปัตย์มีแต่ลดลง นาทีนี้อย่าว่าแต่ภาคอีสานและภาคเหนือเลย แค่ภาคใต้อย่านึกว่า เป็น “หมูในอวย” เหมือนเมื่อก่อน ส่วนในกรุงเทพฯไม่ต้องพูดถึงแม้ “ไม่หาย” ไปทั้งหมด แต่กระแสมันไม่แรงเหมือนเก่าแน่นอน
00 ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้กำลังมีข่าวที่พูดกันให้แซดว่า ปชป.กำลังคิด “จับมือ”กับ เพื่อไทยหลังการเลือกตั้งคราวหน้าโดยข้ออ้างที่ยกขึ้นมาคือ “ปรองดอง” แห่งชาติ ลักษณะก็ไม่มีอะไรซับซ้อนขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนได้เสียงมากกว่ากัน ถ้าเพื่อไทยชนะก็ไปดึง “เสธ.หนั่น” ซึ่งได้ “ทำทาง” เอาไว้ล่วงหน้าในเรื่อง “ประกันแดง” ออกจากคุกจะถูกเชิดขึ้นไปเป็น “นายกฯขัดตาทัพ” มีภารกิจเดียวคือ ออกพรบ.นิรโทษฯช่วยทักษิณและ “หัวโจกแดง” แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดและสมเหตุสมผลก็จะ “พ่วงเหลือง” เข้าไปด้วย แต่เป้าหมายหลักก็คือให้ “หน้าเหลี่ยม” พ้นมลทินกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ จากนั้นก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง โดยอ้างว่าให้ประชาชนตัดสิน
00 ขณะที่อีกสูตรหนึ่งถ้าประชาธิปัตย์ชนะ ก็ให้ มาร์ค เป็นนายกฯรอบสอง(สูตรแรกขอนั่งอยู่วงนอก) แล้วพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ข้ออ้างก็ยังเป็นเรื่อง “ปรองดอง” แห่งชาติแบบเดิม ของแบบนี้อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้นะพี่น้อง เพราะการเมืองไทยตัดสินกันด้วยเรื่องผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีอุดมการณ์ หรือหลักการเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
00 นาทีนี้คนที่น่าเห็นใจที่สุดเห็นจะเป็น วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ยังติดคุกเขมร โดยเฉพาะ วีระ ที่มีสารพัดโรครุมเร้าจึงต้องกลืนเลือดขออภัยโทษหาทางออกมาตั้งหลักฟื้นฟูสุขภาพให้ดีเสียก่อน แต่ที่น่าเศร้าก็คือหลังจากฟังจากปากของน้องชายวีระที่ไปเยี่ยมถึงเรือนจำออกมา “สวด” เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศในกรุงพนมเปญที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ หรือเอาใจใส่พี่ชายเท่าที่ควร ขณะเดียวกันบรรยากาศเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเปรียบเทียบในช่วง ที่ยังมีคนไทยทั้ง 7 คนติดคุกอยู่ที่นั่น ความหมายก็คือมีคนในรัฐบาล “บางคน” ต้องการให้ วีระ “ติดคุก” ที่นั่นสมใจแล้ว ทุด !!
00 มีการประเมินกันว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ น่าจะยุบสภาในราวเดือนเมษายนหรือพฤษภาคมอย่างแน่นอน หรืออาจเร็วกว่านั้นด้วยซ้ำ เพราะสถานการณ์หลายอย่างเริ่มรุมเร้าบีบบังคับเข้ามาทุกขณะแม้ว่าหากถามเจ้าตัวเวลานี้คงเปลี่ยนใจอยากยื้อให้นานที่สุดก็ตาม โดยเฉพาะราคาน้ำมันที่ทำสถิติสูงขึ้นรายวัน เป็นตัวเร่งให้ “ข้าวของแพง” มหาโหด ขณะที่ “การบริหารจัดการ” ที่มาร์คชอบพูดให้ดูดี แต่ผลที่ออกมามัน “ห่วยแตก” นี่แหละที่เป็นแรงบีบทำให้รัฐบาลรีบยุบสภาให้เร็วขึ้น
00 กลายเป็นว่าเวลานี้ราคาสินค้าหลักยกเว้น ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ที่ราคาดี นอกนั้นที่คิดว่าจะขายได้กำไรบ้างอย่างเช่น ข้าว กลายเป็นราคาลดลงอย่างไม่น่าเชื่อ หรือแม้แต่มะนาวหน้าแล้ง ก็ขายไม่ได้ ถูกข้าวเขมร มะนาวเวียดนามเข้ามาตีตลาดจนกระจุย ดังนั้นก็เป็นไปได้ว่าโอกาสที่ปชป.จะใช้วิธีเฉพาะหน้าขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอีกรอบเพื่อรองรับการเลือกตั้งโดยเฉพาะก็เป็นไปได้สูง ส่วนจะออกมาเป็นแค่ความรู้สึกทางจิตวิทยา นั่นคือ “จิ๊บจ๊อย” แต่ก็เกิดความรู้สึกว่าขึ้นไปแล้ว
00 ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งปัญหาข้าวของแพงมันยิ่งกลายเป็นตัวเร่งให้ “ทักษิณ ชินวัตร” กับเครือข่ายมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง เพราะในเมื่อฝั่งประชาธิปัตย์เริ่มกลับมาบอบซ้ำจากสารพัดปัญหาที่ล้มเหลว มันก็ช่วยไม่ได้ที่พรรคเพื่อไทยที่ไม่ต้องลงทุนมากนักกลับ “ได้กำไร” ไปเต็มๆ ถามว่าถ้ายุบสภาในลักษณะแบบนี้คิดหรือว่า มาร์ค และประชาธิปัตย์จะได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีกรอบ ในสภาพที่ชาวบ้านเขาเห็นธาตุแท้แล้วว่า “ของปลอม” เป็นแค่หุ่นเชิดแล้วมันจะสนับสนุนทำไม
00 ขณะที่ อภิสิทธิ์ ขาลง อีกด้านหนึ่งมันก็มีโอกาส สวิงกลับไปที่พรรคเพื่อไทยทันที เพราะหนึ่งฐานเดิมที่มีทั้งคนเสื้อแดง และคนรักทักษิณ ยังมีอยู่เหมือนเดิม แต่ฝ่ายประชาธิปัตย์มีแต่ลดลง นาทีนี้อย่าว่าแต่ภาคอีสานและภาคเหนือเลย แค่ภาคใต้อย่านึกว่า เป็น “หมูในอวย” เหมือนเมื่อก่อน ส่วนในกรุงเทพฯไม่ต้องพูดถึงแม้ “ไม่หาย” ไปทั้งหมด แต่กระแสมันไม่แรงเหมือนเก่าแน่นอน
00 ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เวลานี้กำลังมีข่าวที่พูดกันให้แซดว่า ปชป.กำลังคิด “จับมือ”กับ เพื่อไทยหลังการเลือกตั้งคราวหน้าโดยข้ออ้างที่ยกขึ้นมาคือ “ปรองดอง” แห่งชาติ ลักษณะก็ไม่มีอะไรซับซ้อนขึ้นอยู่กับว่าพรรคไหนได้เสียงมากกว่ากัน ถ้าเพื่อไทยชนะก็ไปดึง “เสธ.หนั่น” ซึ่งได้ “ทำทาง” เอาไว้ล่วงหน้าในเรื่อง “ประกันแดง” ออกจากคุกจะถูกเชิดขึ้นไปเป็น “นายกฯขัดตาทัพ” มีภารกิจเดียวคือ ออกพรบ.นิรโทษฯช่วยทักษิณและ “หัวโจกแดง” แต่เพื่อไม่ให้น่าเกลียดและสมเหตุสมผลก็จะ “พ่วงเหลือง” เข้าไปด้วย แต่เป้าหมายหลักก็คือให้ “หน้าเหลี่ยม” พ้นมลทินกลับมาเป็นนายกฯอีกรอบ จากนั้นก็ยุบสภาเลือกตั้งใหม่อีกครั้ง โดยอ้างว่าให้ประชาชนตัดสิน
00 ขณะที่อีกสูตรหนึ่งถ้าประชาธิปัตย์ชนะ ก็ให้ มาร์ค เป็นนายกฯรอบสอง(สูตรแรกขอนั่งอยู่วงนอก) แล้วพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล ข้ออ้างก็ยังเป็นเรื่อง “ปรองดอง” แห่งชาติแบบเดิม ของแบบนี้อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้นะพี่น้อง เพราะการเมืองไทยตัดสินกันด้วยเรื่องผลประโยชน์เท่านั้น ไม่มีอุดมการณ์ หรือหลักการเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
00 นาทีนี้คนที่น่าเห็นใจที่สุดเห็นจะเป็น วีระ สมความคิด และ ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ยังติดคุกเขมร โดยเฉพาะ วีระ ที่มีสารพัดโรครุมเร้าจึงต้องกลืนเลือดขออภัยโทษหาทางออกมาตั้งหลักฟื้นฟูสุขภาพให้ดีเสียก่อน แต่ที่น่าเศร้าก็คือหลังจากฟังจากปากของน้องชายวีระที่ไปเยี่ยมถึงเรือนจำออกมา “สวด” เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศในกรุงพนมเปญที่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือ หรือเอาใจใส่พี่ชายเท่าที่ควร ขณะเดียวกันบรรยากาศเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อเปรียบเทียบในช่วง ที่ยังมีคนไทยทั้ง 7 คนติดคุกอยู่ที่นั่น ความหมายก็คือมีคนในรัฐบาล “บางคน” ต้องการให้ วีระ “ติดคุก” ที่นั่นสมใจแล้ว ทุด !!
