ชุมพร - กองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จับแก๊งไทย-จีน ลักลอบค้างาช้างส่งขายเศรษฐี นักการเมือง ข้าราชการระดับสูง
วานนี้(28 ก.พ.)พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูลสิทธิ์ ผกก.กก.5 (ปทส.) กองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีแก๊งลักลอบค้างาช้างขนมากับรถทัวร์ผ่านเข้ามาใน จ.ชุมพร จึงสั่งการให้ ร.ต.อ.เฉลียว สวัสดิพันธ์ รอง สว.กก.5 ปทส. ประสานงานกับ ด.ต.สุทิน สวนะทรงธรรม หัวหน้าสายตรวจ ปทส.ชุมพร ด.ต.พายัพ เพ็ญพันธ์ รอง หน.หมวด ตชด.51 ชุมพร นำกำลังออกซุ่มรอที่บริเวณลานจอดรถ บขส.ชุมพร ถนนเอเชีย 41 ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร จนกระทั่งพบรถทัวร์ หาดใหญ่-กรุงเทพ 929-9 ข้างรถเขียน “ปิยะรุ่งเรืองทัวร์” ทะเบียน 14-4259 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถต้องสงสัยตามที่ได้รับรายงาน วิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ บขส.ดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ซึ่งรอซุ่มอยู่แล้วได้แสดงตนขอตรวจค้นภายในรถมีผู้โดยสารมาเต็มคัน คนขับชื่อ นายสุเทพ แฉล้มรัมย์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 1 ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ตรวจสอบในช่องเก็บของข้างรถพบภายในช่องเก็บของดังกล่าวมีช่องลับอีกชั้นมีการขันนอตปิดอำพรางไว้อย่างดี เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องมือเปิดดูพบมีงาช้างขนาดใหญ่ 1 คู่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 ซม. ยาว 1.50 ซม. ราคาประเมินคู่ละกว่า 5 แสนบาท ห่อพับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์มัดใส่ถุงปุ๋ยซ่อนไว้ภายในช่องลับดังกล่าว
จากการสอบถามคนขับรถทราบว่างาช้างคู่ดังกล่าวเป็นของ นายวิชัย แซ่อี้ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 789/6 ซอยไชยสิทธิ์ ถ.เลียบฝั่งเหนือ เขตหนองแขม กรุงเทพฯ และ นายกวงดง แซ่โอ้ว อายุ 45 ปี ถือพาสปอร์ตสัญชาติจีน อยู่มณฑลเซียะเหมิน ประเทศจีน ซึ่งทั้ง 2 คนได้โดยสารมากับรถทัวร์คันดังกล่าว
จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนมีพฤติกรรมตระเวนรับซื้องาช้างตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อนำไปส่งขายให้แก่บรรดาเศรษฐี นักธุรกิจที่มีฐานะร่ำรวย นักการเมือง และข้าราชการระดับสูง ตามออเดอร์ที่มีการสั่งในราคาคู่ละไม่ต่ำกว่า 1 แสนถึงล้านบาท ก่อนถูกจับกุมในครั้งนี้ได้เดินทางไปรับซื้องาช้างดังกล่าวมาจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อจะพาไปขายให้แก่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แล้วลักลอบขนมากับรถทัวร์ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คนอ้างว่างาช้างคู่ดังกล่าวเป็นของตนจริงแต่ไม่ได้มีเจตนานำไปขาย ที่นำมากับรถทัวร์เพราะมีญาติในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ฝากให้ช่วยพากลับไปไว้ที่บ้านในกรุงเทพฯ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากแนวทางการสืบสวนสอบสวนและติดตามพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ลักลอบค้างาช้างมานานแล้ว และระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พยายามอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโตในประเทศหลายคน พร้อมทั้งกดโทรศัพท์มือถือให้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม แต่เจ้าหน้าที่ไม่สนใจ จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย
วานนี้(28 ก.พ.)พ.ต.อ.วัชรินทร์ พูลสิทธิ์ ผกก.กก.5 (ปทส.) กองปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่าจะมีแก๊งลักลอบค้างาช้างขนมากับรถทัวร์ผ่านเข้ามาใน จ.ชุมพร จึงสั่งการให้ ร.ต.อ.เฉลียว สวัสดิพันธ์ รอง สว.กก.5 ปทส. ประสานงานกับ ด.ต.สุทิน สวนะทรงธรรม หัวหน้าสายตรวจ ปทส.ชุมพร ด.ต.พายัพ เพ็ญพันธ์ รอง หน.หมวด ตชด.51 ชุมพร นำกำลังออกซุ่มรอที่บริเวณลานจอดรถ บขส.ชุมพร ถนนเอเชีย 41 ต.ขุนกระทิง อ.เมือง จ.ชุมพร จนกระทั่งพบรถทัวร์ หาดใหญ่-กรุงเทพ 929-9 ข้างรถเขียน “ปิยะรุ่งเรืองทัวร์” ทะเบียน 14-4259 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถต้องสงสัยตามที่ได้รับรายงาน วิ่งเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ บขส.ดังกล่าว
เจ้าหน้าที่ซึ่งรอซุ่มอยู่แล้วได้แสดงตนขอตรวจค้นภายในรถมีผู้โดยสารมาเต็มคัน คนขับชื่อ นายสุเทพ แฉล้มรัมย์ อายุ 45 ปี อยู่บ้านเลขที่ 54 หมู่ 1 ต.ปราสาท อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ ตรวจสอบในช่องเก็บของข้างรถพบภายในช่องเก็บของดังกล่าวมีช่องลับอีกชั้นมีการขันนอตปิดอำพรางไว้อย่างดี เมื่อเจ้าหน้าที่ใช้เครื่องมือเปิดดูพบมีงาช้างขนาดใหญ่ 1 คู่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 12 ซม. ยาว 1.50 ซม. ราคาประเมินคู่ละกว่า 5 แสนบาท ห่อพับด้วยกระดาษหนังสือพิมพ์มัดใส่ถุงปุ๋ยซ่อนไว้ภายในช่องลับดังกล่าว
จากการสอบถามคนขับรถทราบว่างาช้างคู่ดังกล่าวเป็นของ นายวิชัย แซ่อี้ อายุ 51 ปี อยู่บ้านเลขที่ 789/6 ซอยไชยสิทธิ์ ถ.เลียบฝั่งเหนือ เขตหนองแขม กรุงเทพฯ และ นายกวงดง แซ่โอ้ว อายุ 45 ปี ถือพาสปอร์ตสัญชาติจีน อยู่มณฑลเซียะเหมิน ประเทศจีน ซึ่งทั้ง 2 คนได้โดยสารมากับรถทัวร์คันดังกล่าว
จากการสืบสวนสอบสวนของเจ้าหน้าที่ทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คนมีพฤติกรรมตระเวนรับซื้องาช้างตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อนำไปส่งขายให้แก่บรรดาเศรษฐี นักธุรกิจที่มีฐานะร่ำรวย นักการเมือง และข้าราชการระดับสูง ตามออเดอร์ที่มีการสั่งในราคาคู่ละไม่ต่ำกว่า 1 แสนถึงล้านบาท ก่อนถูกจับกุมในครั้งนี้ได้เดินทางไปรับซื้องาช้างดังกล่าวมาจาก อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เพื่อจะพาไปขายให้แก่ลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร แล้วลักลอบขนมากับรถทัวร์ แต่มาถูกเจ้าหน้าที่จับกุมในได้ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 2 คนอ้างว่างาช้างคู่ดังกล่าวเป็นของตนจริงแต่ไม่ได้มีเจตนานำไปขาย ที่นำมากับรถทัวร์เพราะมีญาติในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ ฝากให้ช่วยพากลับไปไว้ที่บ้านในกรุงเทพฯ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อเนื่องจากแนวทางการสืบสวนสอบสวนและติดตามพฤติกรรมของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ได้ลักลอบค้างาช้างมานานแล้ว และระหว่างเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 2 คน พยายามอ้างว่ารู้จักคนใหญ่คนโตในประเทศหลายคน พร้อมทั้งกดโทรศัพท์มือถือให้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม แต่เจ้าหน้าที่ไม่สนใจ จึงควบคุมตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย