ASTVผู้จัดการรายวัน - เซ็นทรัลรีเทล เผยทุ่มงบลงทุนปี 54 กว่า 13,300 ล้านบาท เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มในจีน รุกขยายสาขาแถบแนวชายแดน เปิดตลาดสินค้าไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ตั้งเป้าสิ้นปียอดขายทะลุกว่า 100,000 ล้านบาท
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2553 ว่า “เซ็นทรัลรีเทล มีรายได้รวมทั้งสิ้น 97,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% จากปีก่อน แม้จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่
ปัจจัยความสำเร็จมาจาก1.การปรับปรุงสาขาหลักให้สวยงามและทันสมัย 2.การขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ตรัง ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ร้านไทวัสดุ สาขาบางบัวทอง (เดือนมกราคม 2553) ร้านเพาเวอร์บาย สาขาหัวหิน ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (เดือนธันวาคม 2553) และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาหังโจว ประเทศจีน ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 3.การขยายธุรกิจใหม่ Financial Services คือ “Central Smart Insure” 4.การรุกธุรกิจออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.central.co.th และ www.tops.co.th
“สิ้นปี 2553 เซ็นทรัลรีเทลมีจำนวนร้านค้า 441 สาขาทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่รวม 1.8 ล้านตารางเมตร และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 525 สาขา โดยตั้งเป้าหมายยอดขายถึง 108,000 ล้านบาท เติบโต 10.1%
แผนการลงทุนปี 2554 มี 4 แนวทาง คือ 1. การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน เช่น การพัฒนาโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี การเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสันอีก 3 สาขา ที่จ.เชียงราย จ.พิษณุโลก และพระราม 9 ร้านท็อปส์ เดลี่ จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นจำนวน 100 สาขา ส่วนร้านไทวัสดุเตรียมเปิดเพิ่มอีก 6 สาขา
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เน้นที่ประเทศจีน และปีนี้เปิดอีก 2 สาขา คือ ห้างเซ็นทรัล และห้างเซน สาขาเสิ่นหยาง ไตรมาส 2 และ 3 ล่าสุด เซ็นทรัลรีเทลได้เซ็นสัญญากับผู้บริหารโครงการศูนย์การค้ามิกซ์ซี เปิดห้างเซ็นทรัลเพิ่มอีก 1 สาขา ที่เมืองเฉิงตู นับเป็นสาขาที่ 4 ในประเทศจีน และยังมีอีก 2 โครงการ ที่กำลังจะเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน ได้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 7,170 ล้านบาท
2. การปรับปรุงสาขาเดิม ตั้งงบประมาณ 2,600 ล้านบาท 3. การควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition) เตรียมงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ 4. การพัฒนาระบบเทคโนโลยี IT ตั้งงบประมาณไว้ 500 ล้านบาท 5.กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ด้วยบัตรสปอต เดอะวันการ์ด ขณะนี้มีฐานสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 7.6 ล้านคน กระตุ้นยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 80%
“บริษัทฯจะสนับสนุนให้กลุ่มคู่ค้าของเรา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME สินค้าแบรนด์ไทย เติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัทฯ สามารถขยายการผลิตสู่การส่งออกได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องการเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อการเปิดเสรีทางการค้ามาถึงในปี พ.ศ.2558”
นายทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 2553 ว่า “เซ็นทรัลรีเทล มีรายได้รวมทั้งสิ้น 97,664 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.2% จากปีก่อน แม้จะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และผลกระทบจากอุทกภัยครั้งใหญ่
ปัจจัยความสำเร็จมาจาก1.การปรับปรุงสาขาหลักให้สวยงามและทันสมัย 2.การขยายสาขาเพิ่มขึ้นทั้งในและต่างประเทศ เช่น ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จ.ตรัง ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2553 ร้านไทวัสดุ สาขาบางบัวทอง (เดือนมกราคม 2553) ร้านเพาเวอร์บาย สาขาหัวหิน ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ (เดือนธันวาคม 2553) และห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สาขาหังโจว ประเทศจีน ที่เปิดให้บริการเมื่อเดือนพฤษภาคม 2553 3.การขยายธุรกิจใหม่ Financial Services คือ “Central Smart Insure” 4.การรุกธุรกิจออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ www.central.co.th และ www.tops.co.th
“สิ้นปี 2553 เซ็นทรัลรีเทลมีจำนวนร้านค้า 441 สาขาทั่วประเทศ คิดเป็นพื้นที่รวม 1.8 ล้านตารางเมตร และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มเป็น 525 สาขา โดยตั้งเป้าหมายยอดขายถึง 108,000 ล้านบาท เติบโต 10.1%
แผนการลงทุนปี 2554 มี 4 แนวทาง คือ 1. การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน เช่น การพัฒนาโครงการเซ็นทรัลเอ็มบาสซี การเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสันอีก 3 สาขา ที่จ.เชียงราย จ.พิษณุโลก และพระราม 9 ร้านท็อปส์ เดลี่ จะขยายสาขาเพิ่มขึ้นจำนวน 100 สาขา ส่วนร้านไทวัสดุเตรียมเปิดเพิ่มอีก 6 สาขา
สำหรับการลงทุนในต่างประเทศ เน้นที่ประเทศจีน และปีนี้เปิดอีก 2 สาขา คือ ห้างเซ็นทรัล และห้างเซน สาขาเสิ่นหยาง ไตรมาส 2 และ 3 ล่าสุด เซ็นทรัลรีเทลได้เซ็นสัญญากับผู้บริหารโครงการศูนย์การค้ามิกซ์ซี เปิดห้างเซ็นทรัลเพิ่มอีก 1 สาขา ที่เมืองเฉิงตู นับเป็นสาขาที่ 4 ในประเทศจีน และยังมีอีก 2 โครงการ ที่กำลังจะเซ็นสัญญาในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้ การเปิดสาขาและพัฒนาโครงการใหม่ รวมถึงการซื้อที่ดิน ได้ตั้งงบลงทุนไว้ประมาณ 7,170 ล้านบาท
2. การปรับปรุงสาขาเดิม ตั้งงบประมาณ 2,600 ล้านบาท 3. การควบรวมกิจการ (Merger & Acquisition) เตรียมงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท เพื่อลงทุนในธุรกิจที่เรามีความเชี่ยวชาญ 4. การพัฒนาระบบเทคโนโลยี IT ตั้งงบประมาณไว้ 500 ล้านบาท 5.กลยุทธ์การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ด้วยบัตรสปอต เดอะวันการ์ด ขณะนี้มีฐานสมาชิกทั้งสิ้นกว่า 7.6 ล้านคน กระตุ้นยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 80%
“บริษัทฯจะสนับสนุนให้กลุ่มคู่ค้าของเรา ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME สินค้าแบรนด์ไทย เติบโตไปพร้อมๆ กับบริษัทฯ สามารถขยายการผลิตสู่การส่งออกได้มากขึ้น อีกทั้งยังต้องการเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ สามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อการเปิดเสรีทางการค้ามาถึงในปี พ.ศ.2558”